เล่ามาถึงชนชาติไทยในถิ่นทอง ตามพงศาวดารลานช้าง ถามว่าชนชาติไทยมีถิ่นเกิดอยู่แห่งใด..? คำตอบคือยังไม่มีข้อยุติ แต่ตามพงศาวดารลานช้าง เล่าตำนานมนุษย์คล้ายๆ กัน กับชนเผ่าอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกนี้ต้องตีปริศนาธรรมด้วยตนเองดังเล่าไว้ว่า เดิมทีมีดินกับฟ้า บนดินมีคนกับผี บนฟ้ามีพญาแถน พญาแถนโมโหคนที่ไม่เชื่อฟังจึงให้น้ำท่วม คนเดือดร้อนไปขอขมาแถน แถนให้คนกับควายมาตั้งบ้านนาน้อยอ้อยหนู พอ 3 ปี ควายตายเกิดเครือหมากน้ำเต้าปุงงอกออกมาจากรูจมูกควายเติบโตเป็นดอกมีผลสามลูกพอแก่แล้ว คนชื่อปู่ลางเชิงเอาเหล็กซีเจาะลูกน้ำเต้าปุงให้เป็นรูแล้วคนก็ไหลออกมา ขุนคานใช้สิ่วเจาะให้รูใหญ่อีกแล้วคนก็ไหลออกมาสามวันสามคืนจึงหมด กลุ่มคนที่ออกมาจากรูซีนั้นคือ ไทยลม ไทยลี พวกนี้พัฒนาไปเป็นข้า ส่วนกลุ่มคนออกมาจากรูสิ่วนั้นคือ ไทยเลิง ( กะเลิง ) ไทยลอ ไทยควาง พวกนี้พัฒนาไปเป็นไทย( น.291 )
แล้วคนทุกกลุ่มนั้นได้ปู่ลางเชิงสั่งสอนให้เป็นชาวโลกที่ดี
กาลต่อมาพญาแถนส่งขุนบรมลงมาปกครองมนุษย์ ในเผ่าพันธุ์ไทยอยู่ในถิ่นทองนี้เป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์ ออสตราลอยด์ ( Australiods ) ถือว่าเป็นคนดั้งเดิมของชนชาติละว้าที่อินเดียเรียกว่า สยาม ( น. 296 )
สรุปชนชาติไทยในกลุ่มต่าง ๆ คือ
1.ชนชาติไทยละว้า ถูกเรียกว่า สยามมีผิวสีคล้ำ
2.ชนชาติไทยมอญ-ละว้า คือพวกทวาราวดี
3.ชนชาติไทยอ้ายลาว มีมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
4.ชนชาติไทยขอม-ละว้า คือพวกคนขอมผสมกับชนพื้นเมืองที่เรียกว่า พวกนาคา
5.ชนชาติไทยชวา-ศรีวิชัย คือพวกคนปลายแหลมทองผสมกับคนอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองมากในยุคศรีวิชัย
ชนชาติไทยนิยมการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียหลายคน ( น. 300 ) ในจดหมายเหตุโบราณของจีน พม่า ไทย บอกว่า ชนชาติไทยเป็นชาติพันธุ์ที่เก่าแก่ยิ่งกว่าชาติฮิบรูหรือชาติจีนและเป็นชนชาติที่มีพวกมากแต่ไร้สามัคคีจึงกระจายกันอยู่ทั่วทวีปเอเชีย แม้ชนชาติไทยจะเก่าแก่มีมานานเพียงใดคนไทยไม่มีนิสัยเก็บหลักฐานชอบอิสระรักสงบหลบซ่อนตนอยู่ตามธรรมชาติ ด้วยไร้หลักฐานรับรองและได้แบ่งแยกออกเป็นหลายพวกทำให้ชนชาติไทยมีกำลังอ่อนแลลง และคำว่า ไท หรือ ไทย นี้สื่อถึง เสรีภาพ แต่ความหมายจริง ๆ ต้องตริตรองให้รอบคอบด้วยชนชาติไทยมีกระจายอยู่ทั่วไปเช่น อยู่ในอินเดีย จีน พม่า ลาว ไทย เขมร เวียดนามและมาเลเซีย เป็นต้น
จากการค้นพบหลักฐานที่บ้านเก่า จ. กาญจนบุรีและบ้านเชียง จ. อุดรธานีนั้นได้ยืนยันหลักฐานใหม่ของชนชาติไทยว่าน่าจะอยู่ตั้งถิ่นฐานในถิ่นทองนี้เอง
...........................
บรรณานุกรม
พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ . ( 2547 ). ประวัติศาสตร์ไทย . กรุงเทพ ฯ : สุขภาพใจ.
ไม่มีความเห็น