สรุป
Best Practice เป็นวิธีการทำงานที่ดีที่สุดในแต่ละเรื่อง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกหน่วยงาน จากหลายช่องทาง ทั้งตัวผู้นำ ผู้ร่วมงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือภาวะปัญหา และการริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาที่มีขั้นตอน เมื่อมีวิธีการทำงานที่ดีต้องทำผ่านการเล่าเรื่องที่เป็นการทำงานของตนเองมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนข้ามสายงาน ข้ามหน่วยงานโดยเกิดขึ้นในระดับบุคคล ระดับกลุ่มคน และระดับหน่วยงานย่อย Best Practice ที่ได้ควรมีการบันทึก เขียนรายงานเพื่อการศึกษาพัฒนา และเผยแพร่ได้ ซึ่งจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง (วิญญาณของ KM คือ รีบเข้าสู่การปฏิบัติ ยึดถือหลักการช่วยเหลือตนเอง แต่คอยเสาะหาวิธีการจากทุกแห่ง) หลังจากนั้นจะมี Knowledge Management ตัวจริงเกิดขึ้นในคณะแพทย์แห่งนี้
จาก http://medinfo.psu.ac.th/KM/news/KM%20NEWS%2003.htm
---------------------------------------------------
---------------------------------------------------
การจัดการความรู้ในองค์กรต่างประเทศ
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนีกาตะ ประเทศญี่ปุ่น
โครงการก่อตั้ง "สถาบันส่งเสริมการปฏิรูประบบยุติธรรมและความเป็นธรรมทางสังคม" (สปรย.)
ความยากจน กับกฎหมาย: ความยากจนก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่ผู้คนทั้งแผ่นดิน และเชื่อมโยงกับปัญหาอื่น ๆ เช่น ความอยุติธรรม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาโสเภณี ยาเสพติด โรคเอดส์ การใช้ทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรมและยั่งยืน ระบบการศึกษา ระบบกฎหมาย และการเสียเปรียบต่างชาติ เป็นต้น ถ้าแก้ปัญหาความยากจนได้ ก็จะแก้ปัญหาอื่น ๆ พร้อมกันไปเกือบหมดทุกอย่าง การเอาชนะความยากจนจึงเป็นวาระแห่งชาติที่สังคมทั้งปวงควรจะเข้ามาร่วมกันเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขให้ได้
ปัญหาความยากจน ปัญหาคนจนเป็นปัญหาที่กว้างและซับซ้อนกว่าเรื่องเงิน เกี่ยวข้องกับโครงสร้างและเรื่องต่าง ๆ ที่ทำให้คน "อับจน" ไม่ใช่เรื่องเงินอย่างเดียว
โครงสร้างกฎหมายทำให้คนจนเสียเปรียบ ให้อำนาจและโอกาสกับคนรวยและรัฐที่จะทำกับคนจนมากกว่า รัฐเอาสิทธิในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนไปเป็นของรัฐ เอาสิทธิของคนส่วนใหญ่ไปให้กับคนส่วนน้อย
(ประเวศ วะสี, ยุทธศาสตร์เพื่อเอาชนะความยากจน, สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา, สิงหาคม, ๒๕๔๕)
จำต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม: การปฏิรูประบบยุติธรรมเพื่อเศรษฐกิจพอเพียงและความเป็นธรรมในสังคม เป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก เพราะไม่ใช่เพียงแค่การปฏิรูปกฎหมายเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการปฏิรูป กลไก ระบบ และกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย ซึ่งล้วนรอการแก้ไขปรับปรุงอีกด้วย ดังนั้น การดำเนินงานจึงต้องทำอย่างเป็นขบวนการ (Movements)
ภารกิจดังกล่าวจะต้องมีสถาบันหรือองค์กรที่ทำเรื่องนี้โดยตรง:
- มีอิสระ
- มีศักยภาพอย่างสูงในการจัดการความรู้
- เชื่อมโยงกระบวนการเชิงนโยบาย
- มีกระบวนการเคลื่อนไหวสังคมอย่างมีพลังเข้ามาเสริมตลอดเวลา จึงต้องมีเครือข่ายการทำงานที่กว้างขวางและมีพลังเป็นฐานในการขับเคลื่อนภารกิจ
ในระยะเฉพาะหน้านี้ ยังไม่มีความจำเป็นจะต้องรีบร้อนในการจัดตั้งสถาบันฯ "สปรย." อย่างเป็นกิจจะลักษณะให้เกิดความถาวรตายตัวแต่อย่างใด
การจัดองค์กรใน รูปแบบโครงการ ที่มีวัตถุประสงค์ เป้าหมายและระยะเวลาโครงการที่แน่นอน เพื่อดำเนินงานในระยะเตรียมการก่อตั้งสถาบัน จึงเป็นรูปแบบการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่นตัวสูงกว่า
ต่อเมื่อมีความถึงพร้อมด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ ทั้งในด้านองค์ความรู้ เครือข่ายสนับสนุน และกระแสความตื่นตัวของสังคม เมื่อนั้น การก่อตั้งสถาบันจะมีความมั่นคง และสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
วัตถุประสงค์:
1. ส่งเสริมกระบวน การศึกษา และ สร้างนวัตกรรมกฎหมาย เฉพาะเพื่อการแก้ปัญหาความยากจน
2. ส่งเสริมกระบวนการศึกษาและพัฒนารูปแบบวิธีการ ในการ ใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ และ กฎหมายที่มีอยู่ เพื่อปฏิรูปกลไกระบบยุติธรรม และกลไกงานพัฒนาของ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ให้เอื้อต่อการแก้ปัญหาความยากจน
3. เตรียมการจัดตั้ง "สถาบัน" เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกการทำงาน ที่สามารถดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการปฏิรูประบบยุติธรรม เพื่อเศรษฐกิจพอเพียงและความเป็นธรรมในสังคมในระยะยาว
หลักการทำงานของ สปรย. ๓ ประการ:
1. ใช้การเคลื่อนไหวทาง ปัญญาและสันติวิธี
2. เดินแนวทาง สายกลางทางการเมือง (มัชฌิมาปฏิปทา) ไม่สุดโต่ง ไม่แบ่งขั้ว - แยกฝ่าย
3. ยึดหลัก "มีเหตุผล-ได้ประโยชน์-รู้ประมาณ" และเป็นไป เพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น
แนวทางหลักการขับเคลื่อน ๒ แนวทาง:
1. มุ่งใช้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อปฏิรูปกลไกยุติธรรมและการพัฒนาทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาความยากจน
2. มุ่งสร้างนวัตกรรมกฎหมายเฉพาะขึ้นใหม่ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
๒. ชาติต่าง ๆ ในโลกเขียนกฎหมายแก้ความยากจนกันอย่างไร
แหล่งข้อมูล: International Center for Law in Development (ICLD)
United Nation Plaza, New York
ผู้เรียบเรียง: พิเชษฐ เมาลานนท์
คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนีกาตะ (ญี่ปุ่น)
พรทิพย์ อภิสิทธิวาสนา / นิลุบล ชัยอิทธิพรวงศ์
สำนักวิจัยกฎหมายไทยกับการพัฒนา (TLD-RI)
ICLD เป็นองค์กรระหว่างประเทศ บริหารงานโดยนักกฎหมายโลกที่สาม เพื่อประสานงานเครือข่ายองค์กรทั่วโลก ในการทำงานวิจัยและเคลื่อนไหว ในด้านการใช้กฎหมายภายในบริบทการพัฒนาโลกที่สาม ให้เอื้อประโยชน์ต่อคนยากคนจน และคนด้อยโอกาส โดยยึดหลักการประชาธิปไตย ในแนวทางสหประชาชาติ เหตุนี้ ICLD จึงเป็นองค์กรที่ให้ข้อมูลได้ดีที่สุดว่า ชาติต่าง ๆ ในโลกเขียนกฎหมายแก้ความยากจนกันอย่างไร
1. ใช้วิธีเขียน Poverty Law ฉบับเดียว: ประเทศที่ใช้วิธีนี้ มีแต่ประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ และสแกนดิเนเวีย ส่วนการสอนวิชา Poverty Law ก็มีมากใน American Law School ขณะที่โลกที่สามมักไม่มีกฎหมายเรื่องความยากจนฉบับเดียว และไม่สอนเรื่องนี้ในมหาวิทยาลัย
2. ใช้วิธีเขียนกฎหมายแต่ละฉบับแยกกัน: ประเทศโลกที่สามส่วนใหญ่ รวมทั้งประเทศตะวันตกหลายชาติใช้วิธีนี้ แต่ต้องประกอบกับการปฏิรูปกฎหมายทั้งระบบให้เอื้อประโยชน์กับคนจนด้วย เช่น การสร้างการรับรู้และการตระหนักถึงปัญหาความยากจนโดยผ่านกระบวนการ Human Rights Education เป็นต้น
3. ใช้วิธีให้นักกฎหมายร่วมงานกับนักเศรษฐศาสตร์: ขณะนี้มีโลกที่สามบางชาติไม่เริ่มต้นจากการแก้กฎหมาย แต่พยายามเริ่มจาก Macroeconomic Reform เพื่อสร้าง Pro-Poor Macroeconomic Policy แล้วนักกฎหมายจึงเข้ามาต่อสู้แก้ไขกฎหมาย ให้ตรงกับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อคนจนดังกล่าว
4. ใช้วิธีคุมการกำหนดงบประมาณที่รัฐสภาให้ Pro-Poor: วิธีนี้คือการคุมการจัดสรรงบประมาณในด้านต่าง ๆ โดยถือหลักว่า ทุก ๆ ปี คุณภาพชีวิตของคนยากจนจะต้องพัฒนาขึ้น วิธีการนี้ต้องมีการเก็บข้อมูลสถิติและตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยให้ภาคประชาสังคมมีบทบาทหลักในการบริหารงานสถิติเพื่อให้ได้ตัวเลขที่ไม่เอนเอียงเข้าข้างรัฐบาล จากหลักการ Progressive Quality of Life ทำให้สามารถคุมงบประมาณได้ว่า ถ้าคุณภาพชีวิตด้านใดตกลงไปเมื่อปีที่แล้ว งบประมาณเพื่อคุณภาพชีวิตด้านนั้นในปีต่อไปจะต้องเพิ่มขึ้น
5. ใช้วิธี Social Action Litigation: วิธีนี้หมายถึง การไม่ยึดติดกับการแก้ปัญหาสังคมโดยไปศาล ดังที่นิยมกันในประเทศตะวันตก แต่ใช้ความคิดเรื่อง "การร้องทุกข์" โดยออกกฎหมายกำหนดวิธีให้ผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางสังคม เขียนจดหมายร้องทุกข์ถึงศาลฎีกา ว่าต้องประสบปัญหาความไม่เป็นธรรมอย่างไร ซึ่งศาลฎีกาก็จะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาจากคนหลายฝ่าย (ประชาสังคม-ผู้พิพากษา-ข้าราชการ เป็นต้น) เพื่อให้พิจารณาว่าคำร้องทุกข์นั้นมีมูลความจริงเพียงใด ถ้าพบว่ามีมูลความจริง ก็ถือว่าเป็นการฟ้องคดีต่อศาล และมีการพิจารณาคดีต่อไป แต่ใช้วิธีพิจารณารวดเร็ว โดยไม่ผ่านขบวนการปกติทั้งสามศาล เพราะถือว่า ความไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะต่อคนกลุ่มใหญ่ และไร้อำนาจทางการเมืองและการเงิน เป็นสิ่งเร่งด่วนที่ศาลฎีกาจะต้องเข้ามาดูแลให้จบลงโดยเร็ว
6. ใช้วิธี Charter on Justice for the Poor: วิธีนี้ไม่เริ่มต้นจากการเขียนกฎหมาย แต่เป็นการให้เวทีสาธารณะร่วมกันออก "ธรรมนูญเพื่อความเป็นธรรมสำหรับคนยากจน" เพื่อใช้เผยแพร่ให้คนยอมรับทั้งประเทศ และหลังจากนั้นก็จะถือธรรมนูญนี้เป็นเสมือนหางเสือ (นโยบาย) ในการแก้ไขกฎหมายเดิม หรือออกกฎหมายใหม่
จาก http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document992.html