วันนี้นึกถึงเรื่อง
"เสียงกู่จากครูใหญ่" ขึ้นมา เคยเล่าไว้ที่นี่ เรื่องเล่า :
เสียงกู่จากครูใหญ่
เรื่องดี ๆ
แบบนี้มีผู้อ่านน้อยจัง ก่อนหน้าเก็บสถิติใหม่ (ก่อน 6 มิ.ย.49)
มีผู้อ่านเป็นร้อยครั้ง พอเก็บสถิติใหม่เหลือแค่ 48
ครั้ง...ส่วนของคุณจ๋า ณ สคส. เหลือแค่ 26
ครั้งเท่านั้นเอง...
ต่อไปนี้เป็นข้อคิด คำคม
ที่ผมถอดบทมาจาก VCD นะครับ..ใครสนใจเอาไปทำเป็นภาพยนตร์
ผมจะแต่งเรื่องให้ใหม่นะครับ...เริ่มต้นเลยครับ
-
นักพัฒนานั้น...ต้องเป็นผู้ที่ทำงานด้วยความเสียสละไม่เรียกร้องความดีความชอบหรือผลประโยชน์เป็นพิเศษตอบแทน
...เพราะมิฉะนั้นจะกลายเป็นนักฉวยโอกาส
-
คนเราวัดกันด้วย...เครื่องแต่งกายภายนอก....ถ้าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดๆ
คนเขาก็ไม่นับถือ
- บทเรียนบทแรกของนักพัฒนา "ถ้าสร้างศรัทธาไม่สำเร็จ
การพัฒนาก็ล้มเหลว"
- ชาวบ้านอยู่กันอย่างเห็นแก่ตัว
- ความสำเร็จของการพัฒนา ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของชาวบ้าน
- ก่อนลงมือทำงาน...ต้องสร้างกำลังใจในการทำงานเสียก่อน
- การทำงานเพื่อพัฒนาสังคม คือการทำงานกับคนหมู่มาก
ซึ่งยังมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ดังนั้นต้องมีการ "ประสานความคิด
ประสานจิตใจ"
- ต้องการเพียงคำเขวัญเดียว..แต่ทำให้สำเร็จ
ไม่ใช่มีคำขวัญไว้เยอะแยะ แต่ไม่ได้ทำเลย
- คำขวัญ "การทำงานหนัก เป็นดอกไม้ของชีวิต"
- การทำงานต้องคิดหา...จุดเริ่มต้น...
- นโยบายของครูใหญ่เน้น "การพี่งตนเอง" หรือ อตฺตา หิ อตฺโน นาโถ
- ครูใหญ่เชื่อว่าชาวบ้านที่เห็นแก่ตัวกันมานานนั้น
ยังไม่สามารถใช้คำพูดจูงใจได้
ต้องอาศัยการทำงานหนักเป็นตัวอย่างจูงใจ
- การสร้างโรงเรียนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน
ถ้ารัฐไม่สร้างให้ เขาก็ไม่ให้ลูกหลานเรียน
เขาอยู่มาได้โดยไม่ต้องไปโรงเรียน
- หลักการทำงานของครูใหญ่ "พี่งตัวเองเสียก่อน
แล้วสวรรค์จะช่วย"
- เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือครูใหญ่ก็ยังมีภรรยาครูใหญ่
- การที่บ้านเมืองเสื่อมโทรมจนทุกวันนี้
ก็เพราะคนเห็นแก่ตัว เราเป็นครู เราเป็นพ่อเป็นแม่คน
เราเป็นผู้ใหญ่ในสังคมนี้
ถ้าไม่ทำเป็นตัวอย่างแล้วใครจะทำ
- มีธรรมะคนจะช่วยมาก ไม่มีธรรมะคนจะช่วยน้อย
- พลังของนักเรียนหรือพลังมด มีความภาคภูมิใจที่ได้ช่วยโรงเรียน
ดีกว่าไปวิ่งเล่น
- เมื่อชาวบ้านได้ร่วมมือกันทำงานเพื่อสร้างโรงเรียนให้ลูกหลานแล้ว
จิตใจก็พัฒนาขึ้น เห็นคุณค่าของความสามัคคี
เขาจึงช่วยกันทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ไม่มีการเกี่ยงงอน
ถึงตอนกลางคืนไม่ยอมหยุด จุดคบเพลิงทำต่อ
- ชาวบ้านตกลงกันว่า จะร่ามมือกันสร้างสาธารณประโยชน์อย่างอื่น
อันจะทำให้ชีวิตของเขาและลูกหลานของเขาดียิ่งขึ้น
โดยไม่ต้องรอเงินงบประมาณ เงินผัน เงิน.....
- เมื่องานสำเร็จ ครูใหญ่เรียกประชุมเพื่อกล่าวยกย่องเป็นกำลังใจว่า
"การที่เราทำงานสำเร็จ เรียบร้อย และรวดเร็วเช่นนี้
ก็เพราะความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน"
- โรงเรียนที่ยากจน และเริ่มต้นพัฒนาอย่างเรา
ความสวยงามไม่จำเป็น ต้องยึดหลักพึ่งตนเอง และประหยัด
- นักเรียนได้ฝึกการก่อสร้างด้วยตนเอง
และเมื่อเรียนจบชั้นประถมก็สามารถสร้างบ้านของตัวเองได้
- ครูและนักเรียน ได้ใช้โรงเรียนที่เขาช่วยกันสร้าง
อย่างภาคภูมิใจ
- แม้โรงเรียนจะสร้างเสร็จแล้ว
ครูใหญ่ยังคงทำงานหนักเพื่อพัฒนาโรงเรียนต่อไป
เพราะงานพัฒนาหรืองานสร้างความเจริญนี้
ทำได้ตลอดชีวิตไม่มีที่สิ้นสุด
- ครูใหญ่บันทึกการทำงานของตนเองไว้ทุกขั้นตอน
และบันทึกของครูใหญ่ทราบไปถึงหนังสือพิมพ์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม
ที่ช่วยกันตีพิมพ์ให้รัฐบาลทราบเรื่องว่า
บัดนี้ครูใหญ่ได้พัฒนาจิตใจของชาวบ้าน ให้ขยัน ให้พึ่งพาตนเอง
โดยร่วมกันทำงานสร้างโรงเรียนสำเร็จแล้ว รัฐบาลจึงมาสร้างโรงเรียนให้ใหม่
ให้ใหญ่กว่าเก่า และเพิ่มครูให้อีก
-
สวรรค์ชั้นแรกคือครูน้อยกับนักเรียน...สวรรค์ชั้นต่อมาคือชาวบ้าน...และสวรรค์ชั้นสูงก็คือรัฐบาลนั่นเอง
- การพัฒนารายได้ของชาวบ้าน
เพื่อช่วยให้นักเรียนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
การเรียนก็จะได้ผลดีตามไปด้วย... ได้เริ่มต้นจากการสังเกต
- ครูใหญ่สังเกตว่า นักทัศนาจรที่มาเที่ยวในหมู่บ้าน
(มีบ่อน้ำแร่ร้อน)
ขากลับจะมีไข่ไก่ติดไปด้วย...นักทัศนาจรเหล่านี้คือตลาด
ที่เข้ามาถึงหมู่บ้าน ไม่ต้องไปหาให้ยาก
- ครูใหญ่สละเงิน 300 บาทไปซื้อไข่ไก่มา 200 ตัว
"การเลี้ยงไก่เพื่อเพิ่มรายได้นี้
เป็นความคิดริเริ่มของครูใหญ่เอง ไม่ใช่เลี้ยงตามคำสั่ง
ถ้าเลี้ยงตามคำสั่ง ไม่นานก็เลิก"
- เมื่อทางการทราบว่า ครูใหญ่เริ่มต้นเลี้ยงไก่แล้ว ก็ส่งผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำ
เพื่อให้โรงเรียนมีไก่มากขึ้น
ไม่ใช่ส่งมาช่วยกินไก่ของโรงเรียน
- 5 เดือนต่อมา โรงเรียนมีไก่มากขึ้น
ครูใหญ่จึงใช้กุศโลบายแจกไก่ให้นักเรียนที่เรียนดี.(และเพื่อให้เห็นความสำคัญ
จึงจัดงานอย่างยิ่งใหญ่)..แล้วครูใหญ่จะตามไปดูที่บ้านเพื่อตรวจให้คะแนน...นักเรียนคนไหนเลี้ยงไก่ได้มากจะได้คะแนนเยอะ...นักเรียนอยากได้คะแนนเยอะๆ...ก็ไปบังคับพ่อแม่ให้ช่วยเลี้ยงไก่
- นักเรียนที่ถือไก่กลับไปบ้านเหล่านี้
คือทหารกองหน้าที่จะต่อสู้เอาชนะความยากจน
โดยใช้ไก่เป็นอาวุธนั่นเอง
- ชาวบ้านอื่นๆ
เห็นหมู่บ้านนี้มีไก่มาก...เลยตั้งชื่อให้หมู่บ้านนี้ว่า
"บ้านไก่"....ต่อมาเห็นมีการเลี้ยงผึ้งมากขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า
"บ้านผึ้ง" .....ต่อมาเห็นมีการเลี้ยงวัวมากขึ้น
จึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า "บ้านวัว" .......ต่อมา.....ต่อมา
- ครูใหญ่ทำสวนครัวตัวอย่าง
เพื่อช่วยให้ชาวบ้านมีผักกินในฤดูหนาว...ปลูกสวนครัวในโรงเรียน
โดยมีพลาสติกคลุม และมีขี้ไก่เป็นปุ๋ย
- ครูใหญ่ยังเช่าที่ดินจากทางการ เพื่อปลูกไม้สนหอมบนเขา
ซึ่งได้กล้าไม้มาจากกรมป่าไม้ 38,000 ต้น ให้นักเรียนช่วยดูแล
และภาพใน 4 ปี ต้นไม้เหล่านี้ถ้าตัดหมดจะขายได้เงินถึง...4
ล้านบาท
- การเรียนของเด็กนักเรียน ในภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่
เลี้ยงผึ้ง เลี้ยงวัว เป็นการเรียนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยตรง
และเห็นผลเร็ว "เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น
ไม่ใช่ศึกษาเพื่อจะทิ้งถิ่น"
- ต่อมาครูใหญ่ได้ขายวัวไปจำนวนหนึ่ง เอาเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียน
อุปกรณ์การทดลองทางวิทยาศาสตร์ อุปกรณ์การกีฬาและดนตรี
โดยไม่ได้รบกวนเงินงบประมาณจากทางราชการ...
-
ต่อมา...โรงเรียนนี้กลายเป็นโรงเรียนพัฒนาตัวอย่าง..ทางราชการจึงส่งเรือมาให้รับส่งนักเรียน....
- เมื่อมีการจัดงานโรงเรียน ให้กับนักเรียนที่จบการศึกษา
ครูใหญ่ยังแจกเงินก้นถุงที่เก็บสะสมไว้
ให้กับนักเรียนเพื่อใช้เป็นทุนต่อไป
- ความทราบไปถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาล เชิญครูใหญ่ไปรับรางวัลนักพัฒนา
พร้อมมอบเงินรางวัลให้อีก 80,000 บาท
ซึ่งครุใหญ่ก็ไม่ได้นำไปใช้ส่วนตัว นำไปสมทบทุนสร้างศาลาประชาคม
ซึ่งต่อมาก็ใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของลูกศิษย์
- ภรรยาครูใหญ่เห็นแล้วว่า
ผลงานของครูใหญ่ทำให้ชาวบ้านรักและศรัทธาเธอด้วยความจริงใจไปด้วย
เธอมีความสุขมาก และความสุขเช่นนี้
จะใช้เงินซื้อหาไม่ได้
- 8 ปีก่อน ครูใหญ่คนเดียวแท้ๆ ที่เดินทางเข้าหมู่บ้าน
และสอนให้พวกชาวบ้าน ขยันอย่างฉลาด ปราศจากอบายมุข
เห็นความยากจนของเพื่อนบ้านเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยกัน
มีเพื่อนบ้านที่ดีแล้วไม่ต้องมีรั้วบ้าน
- ความสำเร็จของทุกๆ คนในสังคม จะหล่อหลอมรวมกัน
นำพาประเทศไปสู่ความเข้มแข็ง..และเอาชนะความยากจนได้...