กระบวนการจัดการเรียนรู้ของผมเริ่มต้นอีกครั้งในช่วงประมาณเกือบๆ จะ 11 นาฬิกาของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 อันเป็นช่วงที่นักเรียนกลับจากการ "เดินป้า" ศึกษานิเวศวัฒนธรรมของมหาชีวาลัยอีสาน –
อันที่จริงกระบวนการทั้งปวงของวันนี้ ผมต้องเริ่มจากการบ้านที่ฝากให้แกนนำนักเรียนในแต่ละกลุ่มได้ขบคิดตั้งแต่เมื่อคืน (วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560) นั่นก็คือ “โครงการ หรือกิจกรรมที่อยากจะทำในโรงเรียนเมืองพลพิทยาคม” ซึ่งในค่ำคืนที่ผ่านมา ผมให้แต่ละคนได้ "นึกและเขียน" ถึงเรื่องที่อยากจะทำ โดยบอกกับนักเรียนว่า หากเขียนเป็นชื่อโครงการเลยยิ่งดี หรือเอาแค่ประเด็นที่อยากจะทำก็ได้ ซึ่งกระบวนการที่ว่านั้น ผมออกแบบให้ต่อยอดมาจากตาราง 4 ช่องที่ผมแทรกไว้ในกระบวนการก่อนหน้านี้
ย้อนกลับไปอีกสักนิด- กระบวนการที่ว่านั้นผมให้นักเรียนเขียนถึงเรื่องราวดีๆ ในในโรงเรียนไว้โดยสังเขป เสมือนการค้นหาต้นทุนดีๆ ในโรงเรียนแบบกรายๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว เป็นกระบวนการเสาะหาข้อมูลบางอย่างเพื่อเตรียมผูกโยงมาสู่การจัดทำแผนงานกิจกรรมของสภานักเรียน ซึ่งกระบวนการที่ว่านั้น ผมไม่ได้อธิบายว่าจะต่อยอดมาสู่กิจกรรม หรือกระบวนการที่ว่านี้
และกระบวนการถัดมา ผมก็ให้แต่ละคนได้เล่าสู่กันฟังว่าแต่ละคนมีความคิดความฝันที่จะจัดกิจกรรมอะไรบ้าง พร้อมๆ กับการให้แต่ละกลุ่มลองโสเหล่และเลือกกิจกรรมที่อยากจะทำมาสักกิจกรรม หรือสองกิจกรรม โดยใช้หลักคิดของอริยสัจ 4 เป็นกรอบในการขบคิด ได้แก่ ค้นหาปัญหา ค้าหาสาเหตุของปัญหา กำหนดเป้าหมาย และกำหนดแนวทางของการทะลุทะลวงไปสู่เป้าหมาย - อันหมายถึงคลี่คลายปัญหา
ผมอยากจะบอกว่านี่คือกระบวนการทำแผนกิจกรรมของสภานักเรียนที่อิงกรอบการ SWOT แบบกรายๆ แต่ด้วยความที่ว่าพวกเขายังเป็นนักเรียน ผมจึงไม่ได้เอากระบวนการทั้งหมดมาใช้กับพวกเขาให้เคร่งเครียดและเป็นทางการมากนัก จึงเน้นประยุกต์ให้เกิดการเรียนรู้แบบบันเทิงเริงปัญญา แต่ก็แอบอิงอยู่กับข้อมูลจริงทั้งที่เป็นจุดอ่อน จุดแข็งและการถกคิดแบบมีส่วนร่วม
กำหนดการ (...เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา...)
เอาเข้าจริงๆ ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนแปลงกัน “หน้างาน” อยู่ดี - เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องร้องถามผู้เข้าร่วมกระบวนการว่าทำอะไรถึงไหนแล้ว... ทว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงจากมุมมองการสังเกตการณ์ของผมนี่แหละ
สรุปคือผมรู้ว่าเด็กยังไม่ได้ทำการบ้านที่ผมมอบให้ เพราะเมื่อเช้าเดินสวนป่าเพลินซะนาน ทานข้าวเช้าก็เสร็จเอาในราวเกือบๆ จะ 11 นาฬิกา ดังนั้น ไม่มีเหตุผลกลใดที่ผมจะไม่ปรับแต่งกระบวนการ หรือกำหนดการใหม่
ผมเริ่มกระบวนการจากการมอบโจทย์เพิ่มเติม กล่าวคือให้แต่ละกลุ่มโสเหล่กันใน 2 ประเด็น คือ (1) สะท้อนว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการทัศนศึกษาในสวนป่ามหาชีวาลัยอีสาน (2) สะท้อนกิจกรรม/โครงการที่อยากจะทำในโรงเรียนของตนเอง โดยกำหนดให้ไปโสเหล่กันที่ไหนก็ได้ แต่ต้องกลับมาอย่างพร้อมเพรียงในราว 11.30 น.
ใช่ครับ-เวลาแสนจำกัดนัก แต่นี่คือการฝึกทักษะของการทำงานในสถานการณ์ที่บีบรัด ซึ่งผมมองว่านี่คืออีกหนึ่งทักษะของผู้นำที่เขาต้องมี
และด้วยความที่เวทีครั้งนี้จำกัดด้วยวัสดุอุปกรณ์ ผมจึงเน้นการให้บอกเล่า หรือบรรยายผ่านกระดาษขนาดเล็กมากกว่าการทำผังมโนทัศน์แผ่นใหญ่ๆ เพื่อบอกย้ำว่าผู้นำที่ดีต้องมีทักษะในการสื่อสารสร้างพลังผ่านคำพูด โดยไม่ติดยึดเรื่องตัวช่วยอันเป็นสื่ออื่นๆ ไปเสียทุกเรื่อง
ที่เขาคิด และอยากจะทำ
ก่อนที่แกนนำนักเรียนจะมานำเสนอตามโจทย์ที่กำหนดให้ ผมประสานบรรดาอาจารย์ทั้งที่เป็นที่ปรึกษาและที่เกี่ยวข้องได้ช่วยรับฟัง พร้อมทั้งรับฟังว่ากิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมใหม่หรือกิจกรรมเก่า สอดคล้องกับข้อมูลในกระบวนการที่ผ่านมากี่มากน้อย รวมถึงการเตรียมความพร้อมที่จะร่วมโส่เหล่ร่วมกับนักเรียน
การเตรียมการที่ว่านี้ผมก็ไม่ได้แจ้งนักเรียนเลยนะครับ เพราะอยากให้เขาทำหน้าที่ของเขาแบบเต็มที่โดยไม่ต้องมาพะวงว่าจะมีคนมาตีกรอบ หรือท้วงทัก !
พอได้เวลา – ผมก็เปิดเวทีตามความพร้อม หมายถึง ใครพร้อมก็มานำเสนอ ไม่บังคับกะเกณฑ์ว่าใครก่อนใครหลัง แต่มีแซวบ้างว่า พอกลุ่มที่นำเสนอเสร็จแล้ว พึงใจอยากฟังกลุ่มใดออกมานำเสนอก็ “โยนไมค์” ไปได้เลย 555
ดังนั้นกระบวนการที่นำเสนอจึงเริ่มจากการสะท้อนผลการเรียนรู้ของภาคเช้าในการเดินสวนป่ามหาชีวาลัย ซึ่งนักเรียนก็สะท้อนได้อย่างน่าชื่นชม เก็บรายละเอียดได้เยอะมาก ทั้งปรากฏการณ์ของต้นไม้ต้นหนึ่งประกอบด้วยอะไร เติบโตอย่างไรมีสรรพคุณอย่างไร บางกลุ่มพูดถึงสวนผักปลอดสาร บางกลุ่มพูดถึงการเลี้ยงแพะ บางกลุ่มพูดถึงพลังงานทางเลือก (พลังงานแสงอาทิตย์) ฯลฯ
และที่ผมชอบมากก็คือบางคนถึงกลับอุทานหลุดออกมาว่า “ลืมไปเลยว่าที่โรงเรียนก็มีต้นไม้ประเภทนี้เหมือนกัน” --- เข้าตำรา “หันกลับไปดูบ้านเกิด” หนึ่งในแนวคิด 9 ข้อของการเรียนรู้ชุมชนที่ผมเขียนไว้อย่างมหัศจรรย์
ส่วนกรณีประเด็นกิจกรรมที่อยากจัดขึ้นในนามสภานักเรียนนั้น ต้องบอกว่าชวนคิดตามเป็นที่สุด เกือบ 100 % คือ “คิดใหม่” แทบทั้งสิ้น ประหนึ่งการตอกย้ำว่าที่ผ่านมาพวกเขายังไม่ได้คิดและทำในสิ่งที่พวกเขาเฝ้าฝันเลยก็ว่า เป็นต้นว่า
ใช่ครับ – สิ่งที่เขาสะท้อนออกมานั้น ล้วนเป็นกิจกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่มีขึ้นในโรงเรียน ทั้งเขาและอาจารย์ต่างยืนยันว่าเป็นการคิดใหม่และอยากจะทำขึ้นใหม่ ไม่ใช่การทำหน้าที่แค่เพียงเฝ้าระวังและเฝ้าจับผิดพฤติกรรมของนักเรียนด้วยกันเองในแบบวันต่อวัน หรือกระทั่งการจับคนมาสายเพื่อให้มาคัดเพลงชาติไทยหลายๆ จบ แต่กลับไม่ออกแบบให้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมควบคู่กันไป .....
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด และพูดออกมา
ผมว่า “เข้าท่าดี” นะครับ
เข้าท่าดีในที่นี้หมายถึง ให้เขาได้ทำในสิ่งที่คิด เพราะสิ่งที่เขาคิดมีนัยสำคัญชวนคิดตามเป็นอย่างมาก
โดยส่วนตัวแล้ว ผมอยากให้เขาได้ลองทำในสิ่งที่เขาคิดและอยากจะทำจริงๆ เพราะเหมือนที่พูดมานานแล้วว่า ผู้นำที่ดีในมิติของผมก็คือ กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ ----
ถ้าคิดแล้วไม่ได้ทำ จะรู้ได้อย่างไรว่าดี หรือไม่ดี สำเร็จ หรือล้มเหลว
ถ้าไม่ได้ทำ แล้วจะเรียนรู้กับคำว่า “รับผิดชอบ” ได้อย่างไร
นั่นคือสิ่งที่ผมสะท้อนคืนกลับไปยังนักเรียนและคณะครูในเวทีนั้น
ฝึกความเป็นผู้นำนะครับ ;)...
เป็นการทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
ครับ .
จริงๆ กระบวนการเหล่านี้ มีเรื่องที่เกี่ยวกับผู้นำแทรกไว้เนียบๆ เช่น จิตนาการ การวิเคราะห์ปัญหา ประชาธิปไตย การสื่อสาร การอธิบาย การอภิปราย คามเป็นทีม ฯลฯ
ก็ได้แต่หวังว่านักเรียนจะเข้าใจ เพราะไม่อยากบรรยายภาคทฤษฎีมากจนเกินเหตุ ครับ
สวัสดีครับ
ใจจริงก็อยากเจาะลงที่การระดมแผนงานของสภานักเรียนเลยครับ แต่ด้วยเหตุบางอย่างเช่น แกนนำมาไม่ครบ และกลัวจะออกแนววิชาการเกินไป เลยผ่องถ่ายผ่านกระบวนการในแบบบันเทิงเริงปัญญา เป็นหลัก ซึ่งถ้าไม่เข้าข้างตัวเองมากนัก นักเรียนก็มีปฏิกริยา -ตื่นตัวและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งเลยครับ