“ ระบบ : การเดินทางที่ยาวไกล ”
SYSTEMS – A JOURNEY ALONG THE WAY
“ ระบบ : การเดินทางที่ยาวไกล ” โดย GENE BELLINGER ( 2004 – 2005) มีใจความสำคัญ ดังนี้ คือ
1 เนื้อหา
บทความนี้มิได้ตั้งใจจะให้ความคิดเห็นเชิงวิชาการ แต่ตั้งใจจะให้มองหลายๆอย่างตามแนวคิดของระบบ เพื่อจะได้เข้าใจเรื่องของระบบได้ชัดเจนมากขึ้นและรายละเอียดของบทความนี้ ถูกเรียบเรียงขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงแนวคิดด้าน “ วิทยาการว่าด้วยระบบ” โดย LUDWIG VON BERTALANFFY ที่ว่า “การศึกษาด้านวิทยาการของระบบด้วยความตั้งใจเดิมที่จะแก้ปัญหาด้านความชำนาญเฉพาะการกลายเป็นการศึกษาทางวิชาการเฉพาะอีกมากมาย” ผู้เขียนได้ให้คำจำกัดความของคำว่า “ระบบ” ว่ามีความหมายที่แตกต่างกันอย่างมากมายกว่าคำอื่นๆ ในปัจจุบัน แต่คำจำกัดความที่ผู้เขียนใช้ก็คือ “ส่วนประกอบของสิ่งต่างๆที่รวมกันอยู่โดยมีสหสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทุกส่วน” อันเป็นแนวคิดของนักชีววิทยาชาวออสเตรีย LUSWIG VON BERTALANPFY ซึ่งคำจำกัดความนี้มีความหมายลึกซึ้งกว่าการเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งกันและกันตามปกติ แต่เป็น “สหสัมพันธ์ร่วมกัน” ไม่เป็นเพียงแต่มารวมกัน หรือจัดมาอยู่ร่วมกัน จากการมีสหสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของส่วนต่างๆทำให้เกิดลักษณะเฉพาะของระบบที่ไม่มีในแต่ละส่วนที่ประกอบกัน ซึ่งผู้เขียนพบว่าแนวคิดนี้ได้มาจากการเรียนเรื่อง “พลังร่วม” (SYNERGY) ตอนเรียนอยู่ในชั้นมัธยมที่ยืนยันได้ว่า “องค์ประกอบใหญ่ทั้งหมดมีความยิ่งใหญ่กว่า การรวมเอาผลของส่วนประกอบย่อยๆมารวมกัน เช่นน้ำ เป็นส่วนประกอบของก๊าซออกซิเจนกับก๊าซไฮโดรเจน แต่ทั้งอ๊อกซิเจน และก๊าซไฮโดรเจน ไม่มีลักษณะเปียกเหมือนน้ำ ระบบในทัศนะของผู้เขียนมี 3 ประเภท คือระบบเอกเทศ (ISOLATED SYSTEM) ระบบเปิด (OPEN SYSTEM) และระบบปิด (CLOSED SYSTEM) โดยที่ระบบเอกเทศเป็นระบบที่อยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมใดๆ ในขณะที่ระบบปิดเช่นอะตอมและโมเลกุล เป็นระบบที่สิ่งแวดล้อมเข้ามามีผลกระทบได้ยาก ส่วนระบบเปิดซึ่งเป็นระบบที่มีชีวิตและต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมจึงจะดำรงอยู่ได้ คนจึงเป็นตัวอย่างที่สำคัญของระบบเปิดเนื่องจากต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านอาหาร น้ำและที่อยู่อาศัย แล้วคนก็ถ่ายของเสียกลับคืนมาให้แก่สิ่งแวดล้อม ระบบเปิดแต่ละระบบจะมีสหสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในด้านการรักษาดุลยภาพ เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน จึงทำให้ระบบย่อยต่างๆ รวมกันเป็นระบบใหญ่และระบบใหญ่ต่างๆรวมกันเป็นระบบรวม
โบลเดอร์ (BOULDER) ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ได้จัดแบ่งระบบในหนังสือ “โลกคือระบบรวม” ว่ามี 5 ประเภทคือ
1. ระบบกาฝาก (PARASITIC SYSTEM) เป็นระบบที่สิ่งหนึ่งอาศัยอีกซึ่งหนึ่งเพื่อการดำรงอยู่ ในขณะทำลายสิ่งที่ได้อาศัยนั้นให้เสื่อมสลายในที่สุด
2. ระบบเหยื่อกับนักล่า (PREY / PREDATOR SYSTEM) เป็นระบบที่ต่างต้องอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อให้ดำรงอยู่ได้ เช่นหมาป่ากับกระต่าย ที่แม้ว่าหมาป่าจะต้องจับกระต่ายกินเป็นอาหาร แต่การจับกระต่ายของหมาป่าก็จะกระตุ้นให้ประชากรของหมาป่าต้องพัฒนาตัวเองให้มีความเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา
3. ระบบคุกคามซึ่งกันและกัน (TREAT SYSTEM) เป็นระบบที่ถ้าสิ่งหนึ่งไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขอีกสิ่งหนึ่งก็จะไม่ปฏิบัติด้วยเช่นกัน เช่นการควบคุมการพัฒนาอาวุธของรัฐเซียกับสหรัฐอเมริกาเป็นต้น
4. ระบบการแลกเปลี่ยน (EXCHANGE SYSTEM) อันได้แก่ ระบบทุนนิยมในปัจจุบันที่ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ส่งมอบสินคค้าและบริการ ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งที่จะต้องส่งมอบเงินหรือสินค้าและบริการอื่นมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน หรือถ้าฝ่ายหนึ่งทำอะไรให้ อีกฝ่ายหนึ่งต้องทำอะไรให้เป็นการตอบแทนเสมอ จนทำให้ระบบเศรษฐกิจแบบให้ก่อนผ่อนจ่ายคืนภายหลัง กำลังจะกลายเป็นระบบคุกคามซึ่งกันและกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งเริ่มผิดสัญญา
5. ระบบบูรณาการ (INTEGRATIVE SYSTEM) เป็นระบบที่ ผู้ที่มีความสนใจหรือผลประโยชน์ร่วมกัน มาร่วมกันเป็นกลุ่มและจัดตั้งระบบการดำเนินการร่วมกันขึ้นมาเพื่อร่วมกันคิดร่วมกันทำ ร่วมกันเรียนรู้และร่วมกันสร้างความสำเร็จ
ผู้เขียนได้เพิ่มเติมในตอนท้ายของบทความว่าได้มีการแบ่งระบบออกเป็น 4 ระบบ ซึ่งอาจจำเป็นที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไป อันได้แก่ ระบบป้องกัน (PROTECTION SYSTEM) ระบบควบคุม (REGULATIVE SYSTEM) ระบบเล็งผลเลิศ (OPTIMISTIC SYSTEM) และระบบปรับตัว (ADAPTIVE SYSTEM)
2 ประเด็นของบทความ
2.1 ระบบหมายถึง ส่วนประกอบของสิ่งต่างๆที่รวมกันอยู่โดยมีสหสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทุกส่วน ทั้งนี้ เมื่อรวมกันเป็นระบบแล้ว ลักษณะขององค์ประกอบใหญ่ทั้งหมดจะมีความยิ่งใหญ่กว่าการนำเอาลักษณะขององค์ประกอบย่อยมารวมกัน
2.2 ระบบแบ่งออกได้ตามลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อม เป็น 3 ประเภทคือ ระบบเอกเทศ ระบบปิด และระบบเปิด
2.3 ระบบแบ่งออกตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ (BOULDING) ได้ 5 ประเภท คือ ระบบกาฝาก ระบบเหยื่อกับนักล่า ระบบคุกคามซึ่งกันและกัน ระบบแลกเปลี่ยน และระบบบูรณาการ
2.4 อาจจะมีลักษณะการจัดระบบอีกรูปแบบหนึ่งที่จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คือ ระบบป้องกัน ระบบควบคุม ระบบเล็งผลเลิศ และระบบปรับตัว
3 การวิเคราะห์บทความ
3.1 บทความนี้มีความตั้งใจที่จะอธิบายว่า การศึกษาเรื่องระบบ (SYSTEM) นั้น ได้มีการศึกษากันอย่างหลากหลาย ทั้งในด้านมุมมองของแต่ละความเชี่ยวชาญและได้มีการให้คำจำกัดความแตกต่างกันออกไป จึงได้ตั้งชื่อบทความว่า “ระบบ – การเดินทางที่ยาวไกล” เพื่อจะกระตุ้นให้ผู้ที่ศึกษาได้ค้นคว้ารายละเอียดให้ลึกลงไป
3.2 แม้ว่าผู้เขียนจะจั่วบทนำเอาไว้ว่ามิได้ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องศาสตร์ของระบบ (THE REAL INTENT HERE IS NOT TO STUDY SYSTEMS AS A DISCIPLINE) แต่วิธีการนำเสนอได้ชักจูงไปอธิบายว่าเรื่องของระบบเป็นเรื่องที่กว้างขวางลึกซึ้งและมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ จำนวนมากจนน่าจะนับเป็นศาสตร์ (DISCIPLINE) แขนงหนึ่งได้ ที่ผู้เขียนเรียกว่า SYSTEM SCIENCE (ศาสตร์ที่ว่าด้วยระบบ)
3.3 หากนำเอาคำจำกัดความที่ผู้เขียนเลือกนำมาอ้างอิงว่า “ระบบ หมายถึง ส่วนประกอบสิ่งต่างๆ ที่รวมกันอยู่โดยมีสหสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทุกส่วน ทั้งนี้เมื่อรวมกันเป็นระบบแล้ว ลักษณะขององค์ประกอบใหญ่ทั้งหมด จะมีความยิ่งใหญ่กว่าการนำเอาลักษณะขององค์ประกอบย่อยมารวมกัน” เมื่อวิเคราะห์แล้วจะพบว่า การที่จะเรียกว่าระบบนั้นจะต้องมี องค์ประกอบหรือชุดขององค์ประกอบ (OBJECTS/SUBJECT) ต้องมีการรวมตัวกันโดยมีสหสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ภายในซึ่งกันและกัน ตลอดจนมีอิทธิพลต่อซึ่งกันและกัน และคุณลักษณะของระบบ จะมีความแตกต่างจากการนำเอาคุณลักษณะขององค์ประกอบต่างๆมารวมกัน โดยผู้เขียนยกตัวอย่างการรวมตัวกันของ OXYGEN กับ HYDROGEN จนกลายเป็นน้ำ ซึ่งน้ำจะมีคุณสมบัติแตกต่างจากก๊าซทั้ง 2 ชนิด คือเป็นของเหลวและมีลักษณะเปียกเป็นต้น ก็จะโน้มนำผู้อ่านให้เข้าใจว่า เรื่องของระบบ หรือ SYSTEM น่าจะกว้างขวางลึกซึ้งและมีเอกลักษณ์เพียงพอที่จะเป็นศษสตร์ที่เรียกว่า “SYSTEM SCIENCE” ได้
3.4 การนำเอาแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ BOULDER มาแจกแจงประเภทของระบบทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็น ระบบกาฝาก ระบบเหยื่อกับนักล่า ระบบคุกคาม ระบบแลกเปลี่ยน และระบบบูรณาการ เพื่ออธิบายความหลากหลายของระบบ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบนั้น หากวิเคราะห์ดูแล้วจะพบว่า เป็นตัวอย่างด้านวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด มิได้ประยุกต์ตัวอย่างในด้านสังคมศาสตร์มาประกอบแต่ประการใด แม้ว่าในตอนท้ายจะพยายามจะชี้ชวนให้ผู้อ่านติดตามเรื่องระบบป้องกัน ระบบควบคุม ระบบเล็งผลเลิศและระบบปรับตัว ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มตัวอย่างด้านสังคมศาสตร์บ้าง แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก
4 บทวิจารณ์
4.1 หากความตั้งใจของผู้เขียน ต้องการให้ผู้อ่าน “เดินทางไปอีกยาวไกล” เพื่อทำความเข้าใจกับ “ศาสตร์ของระบบ” เพื่อจะทำความเข้าใจให้ได้ว่า จริงๆแล้วเรื่องของระบบจะเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งได้จริงๆหรือไม่ ก็จะเป็นบทความที่น่าติดตามต่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง ถ้าจะมองว่าสิ่งใดจะเป็นศาสตร์ได้นั้น นอกจากจะมีหลักการและทฤษฎี (PRINCIPLES AND THEORY) ที่จะต้องผ่านการพิสูจน์แล้วสิ่งนั้นจะต้องมีเอกลักษณ์ (ENTITY) เฉพาะตัวที่มีลักษณะเป็นศาสตร์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมิติ (DIMENSION) ของรายละเอียดที่ประกอบกันเป็นหลักการและทฤษฎี จะต้องมีความซับซ้อนเพียงพอที่จะเป็นศาสตร์ในตัวเองได้ในความเห็นของผู้วิจารณ์เห็นว่า “ระบบ” เป็นเพียงองค์ประกอบหรือปัจจัย (FACTOR) ที่จะช่วยให้ผู้ประยุกต์ใช้ความรู้เรื่องของ ระบบ มีเครื่องมือที่จะมองเห็นปัญหาหรือเป้าหมายของสิ่งที่จะดำเนินการได้อย่างครอบคลุมในรูปแบบขององค์รวมเท่านั้น
4.2 การที่ผู้เขียนได้ใช้แนวคิดของ BOULDER ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ในการจำแนกประเภทของระบบออกเป็น 5 ประเภท ทำให้ผู้อ่านสามารถแยกความสัมพันธ์ภายในของระบบได้ 5 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีตัวอย่างเป็นรูปธรรม แต่ถ้าหากได้มีตัวอย่างในเชิงสังคมศาสตร์ เช่นความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะต่างๆของมนุษย์ และอิทธิพลของระบบอวัยวะที่มีต่อพฤติกรรม (การแสดงออก) ตลอดจนทัศนคติและความเชื่อของมนุษย์ด้วยแล้ว ก็จะทำให้การจำแนกลักษณะของระบบมีความครอบคลุมการนำไปประยุกต์ใช้ได้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะพื้นที่จำกัดด้วยส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถยกตัวอย่างในเชิงสังคมศาสตร์และวิทยาการจัด การ ซึ่งการคิดเชิงระบบ เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
4.3 หากผู้เขียนได้นำแนวคิดเปรียบเทียบของ LUDWIG VON BERTALANFFY ซึ่งพยายามอธิบายให้เป็นศาสตร์ของระบบกับแนวคิดของ BOULDER ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์และแนวคิดของนักสังคมศาสตร์บางคนมาอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างที่หลากหลายมุมมองขึ้น จะทำให้ “การเดินทางที่ยาวไกล” ในการทำความเข้าใจกับคำว่า “ระบบ” หรือการนำเอาความเข้าใจเกี่ยวกับระบบไปใช้ก็จะทำให้การเดินทางที่ยาวไกลนั้น เป็นการเดินทางที่คุ้มค่ายิ่ง
5 บทสรุป
5.1 หากเอาจำกัดความของ “ระบบ” (SYSTEM) ตามที่ผู้เขียนยึดถือมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRD) ก็จะพบว่า เมื่อกระบวนการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จะต้องประกอบไปด้วย ความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ ความเข้าใจในสิ่งแวดล้อมทุกปัจจัยของมนุษย์ ความเขาใจในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งโดยธรรมชาติและโดยการกระทำของมนุษย์ และความเข้าใจในองค์ความรู้ อันเป็นแก่นสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์แล้ว จะพบว่า ถ้าไม่มีการคิดอย่างเป็นระบบ (SYSTEM THINKING) อย่างจริงจัง จะไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ เนื่องจากความสัมพันธ์เกี่ยวโยงขององค์ประกอบต่างๆ มีความซับซ้อนมากประกอบกับหากปฏิบัติผิดพลาด (MALPRACTICE) ก็จะทำให้เกิดผลเสียและเกิดความเสียหายทั้งระบบจนยากที่จะแก้ไขกลับคืนได้
5.2 ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น หากได้นำเอาความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะกาฝาก เหยื่อและนักล่า คุกคามซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยน หรือการบูรณาการ มาปรับเปลี่ยนหรือปรับแต่งให้เป็นความสัมพันธ์เชิงบูรณาการให้ได้เกือบทั้งหมด การเรียนรู้แบบการประสานความร่วมมือ (COLLABORATIVE LEARNING) ก็จะเกิดขึ้น เป็นผลให้กระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สร้างความสุขให้แก่ทั้งผู้พัฒนาและผู้ที่ได้รับการพัฒนา
5.3 หากจะประยุกต์ใช้แนวคิดเรื่องระบบเอกเทศ ระบบปิดและระบบเปิด มาใช้กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะสามารถเห็นได้ชัดว่าระบบเอกเทศ (ISOLATION) มีน้อยมากในกระบวนการและหลักการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ระบบปิด (CLOSED SYSTEM) จะเป็นโทษต่อระบบการพัฒนา ส่วนระบบเปิด (OPEN SYSTEM) เป็นระบบที่จำเป็นอย่างยิ่งในกระบวนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เนื่องจากจะต้องเป็นระบบที่มีพลวัต (DYNAMICITY) สูงอยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถรองรับ (COPE) กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่างๆได้อย่างจริงจัง
.....................................................................
ไม่มีความเห็น