โอกาสดีมาเยือนชาว สคส. และหนึ่งในผู้โชคดีได้ไปงาน "ตลาดนัดเครือข่ายการจัดการความรู้ มูลนิธิข้าวขวัญ" คือจ๊ะจ๋านั่นเอง งานนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2549 ณ มูลนิธิข้าวขวัญ จ. สุพรรณบุรี
กำหนดการที่น่าสนใจตั้งแต่วันแรกคือ การชมนิทรรศการที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายชาวนาที่มาจากหลายภาค ไม่ว่าจะเป็นภาคกลาง (นครสวรรค์, พิจิตร, ชันนาท, อยุธยา, ปราจีนบุรี, ลพบุรี, สระบุรี) ภาคเหนือ (Institute for Sustainable Agriculture Community-ISAC) ภาคอีสาน (เครือข่ายค้ำคูณ, เครือข่ายเกษตรทางเลือก, กลุ่มศรีษะอโศก) ภาคใต้ (ลุ่มปากพนัง, เครือข่ายเกษตรทางเลือก, มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน) นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาครัฐ ( ส่วนกลางของกรมส่งเสริมการเกษตร, เกษตรจ. สุพรรณบุรี, กศน. สุพรรณบุรี, เทศบาลท่าเสด็จ และโรงเรียน) หน่วยงานเอกชน (OXFAM, ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด) แทบพูดได้ว่ามีผู้เข้าร่วมงานหลากหลายและสมกับเป็นงานตลาดนัดเครือข่ายชาวนาอย่างแท้จริง
โดยแต่ละภาค มีการออกร้านและนำผลงานของตนมาจัดแสดงนิทรรศการตามซุ้มต่างๆ และช่วงสำคัญและถือว่าเป็น Highlight ของงานวันแรกคือ เวทีเสวนา “การจัดการความรู้กับสังคมไทย” ซึ่งมีบุคคลสำคัญคือ คือ ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช, ดร.ทิพวัลย์ สีจันทร์, คุณชำนาญ ถนัดธนูศิลป์ และ คุณเดชา ศิริภัทร ซึ่งสาระสำคัญน่าสนใจมีดังนี้
1. ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ได้กล่าว 3 ประเด็นที่น่าสนใจคือ
2. คุณเดชา ศิริภัทร ผู้อำนวยมูลนิธิข้าวขวัญ ได้กล่าวสาระที่น่าสนใจคือ เดิมมูลนิธิข้าวขวัญได้จัดตั้งเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนด้วยการนำเครื่องมือการจัดการความรู้มาใช้ และไม่คาดคิดว่าผลจะออกมาเป็นเช่นวันนี้
- ปัจจุบันมีเรียน 3 หลักสูตร คือ การจัดการแมลง การจัดการดิน และการจัดการพันธุ์ข้าว และสิ่งที่เกินความคาดหวังคือ นร. ชาวนาบันทึก ถ่ายทอดเก่ง วาดรูปเก่ง และที่สำคัญอย่างมากคือได้ศักดิ์ศรีของความเป็นชาวนา
- การริ้อฟื้นประเพณีดั้งเดิมขึ้นมา เช่น ประเพณีเดือนสิบ เช่น ที่ อ. อู่ทอง อ. บางปลาม้า
- จากการส่งโครงการ“ส่งเสริมการจัดการความรู้เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรยั่งยืน”เข้าประกวดกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และได้รับเลือกเป็นงานวิจัยดีเด่น สกว.
“ KM ในตัวธรรมชาติของมันเป็นนวัตกรรมอยู่แล้ว ด้วยฐานความรู้เก่าที่ นร. ชาวนามีกันอยู่แล้ว เมื่อมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำไปปฏิบัติ กลับมาเลกเปลี่ยนกันใหม่ เกิดความรู้ใหม่ที่ต่อยอดจากของเดิม”
“ KM ทำให้เกิด นวัตกรรม Synergy และ กระบวนทัศน์”
คำพูดที่กระตุกหัวใจคือ สิ่งที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ คือ เกิดความเอื้อเฟื้อ เกิดการฟื้นฟูวัฒนธรรม และเรียนรู้ร่วมกัน มีภาคภูมิใจมาก
3. ดร.ทิพวัลย์ สีจันทร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่นำนักศึกษาหลายชีวิตเข้าร่วมตลาดนัดครั้งนี้ได้กล่าวอย่างน่าสนใจว่า “KM คือการเรียนรู้ตลอดเวลา เกิดความเคารพศักดิ์ศรีของชาวบ้าน และที่สำคัญ หัวใจ KM คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ได้ รู้เขา รู้เรา รู้เท่า รู้ทัน รู้กัน และ รู้แก้”
4. คุณชำนาญ ถนัดธนูศิลป์ จากบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (แก่งคอย) จำกัด ได้เล่าว่าถึงแม้จะเป็นบริษัทเอกชนแต่ก็ให้ความสำคัญในการพัฒนาพนักงานให้รู้จักตน เห็นประโยชน์ของสิ่งที่ได้เรียนรู้ จึงเกิดโครงการที่นำพนักงานปูนฯ เข้าร่วมการฝึกอบรม 7 เดือน โดยมีการฝึกการจินตนาการ การพัฒนาด้าน EQ ด้านอารมณ์ การประกอบเลโก้ Hardware/ Software Project base learning ซึ่งในการฝึกการเรียนรู้นี้พนักงานปูนฯจะมาอยู่กินและใช้ชีวิตที่มูลนิธิข้าวขวัญ จนเกิดการร่วมมือร่วมใจในการทำงานหลังจากที่กลับจากการเข้าค่ายที่มูลนิธิข้าวขวัญ “คุณมีพลัง...ฉันมีพลัง...เรามีพลัง” สิ่งที่ได้นอกจากได้เรียนรู้จากหลักสูตรที่ถูกจัดขึ้นแล้วยังได้เรียนรู้ชีวิตชาวนา จึงเกิดคำพูดว่า “ชาวนาคือผู้มีพระคุณ”
หลังจากนั้นมีการสาธิตวิธีการดำนาด้วยเครื่องที่มูลนิธิข้าวขวัญ ภูมิใจเสนอในแปลงนา ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ผู้ร่วมงานที่มีตั้งแต่ชาวนา นักเรียน หน่วยงานราชการที่มาร่วมงาน มุงดูกันอย่างสนใจ เพราะด้วยรูปทรงที่กะทัดรัดมีการใช้งานที่ง่าย และการดำนาได้อย่างรวดเร็วใช้เวลาไม่นาน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวนาอย่างมาก
เยี่ยมมากครับ