ผมเกิดความคิดตามหัวข้อบันทึกนี้ในระหว่างร่วมประชุมสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการนำเสนอเรื่อง รายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในตามเกณฑ์ EdPEx โดยรายงานหลักการและวิธีดำเนินการในภาพใหญ่อย่างดียิ่ง แต่เมื่อรายงานผลการประเมินโดยคณะผู้ตรวจเยี่ยม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลภายนอก ได้คะแนน ๒๐๘ จากคะแนนเต็ม ๑,๐๐๐ โดยที่เป้าหมายของมหาวิทยาลัยในขั้นต่อไปคือ EdPEx 300
ฟังการนำเสนอ และคำอภิปรายในสภามหาวิทยาลัยแล้ว ผมสะท้อนคิดว่า สังคมไทยเรามักจัดการระบบคุณภาพแยกเป็นสายหนึ่งต่างหาก ขับเคลื่อนโดยการประเมิน และการให้คะแนนส่วนต่างๆ ในระบบ ทำให้ระบบคุณภาพแยกออกจากระบบงานประจำ กิจกรรมคุณภาพจึงกลายเป็นงานเพิ่ม หรือเป็นภาระ ไม่เป็นพลังเสริมหรือพลังช่วย ให้บรรลุผลงานที่มีคุณภาพสูง มีประสิทธิภาพในการทำงาน
กรรมการสภามหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเล่าประสบการณ์การทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญ ให้แก่บริษัทเยอรมัน ท่านบอกว่า งานทุกขั้นตอนมีวิธีการและขั้นตอนกำหนดไว้อย่างละเอียดชัดเจน ต้องทำตามนั้น และต้องจัดทำเอกสารผลงานเป็นระยะๆ นำเข้าใส่ในฐานข้อมูลดิจิตัล แล้วคอมพิวเตอร์ก็จะสรุปภาพความเคลื่อนไหวของงาน ตรงไหนยังไม่ดีพอก็ต้องกลับไปแก้ไข ท่านเล่าว่าในช่วงแรกเป็นชีวิตการทำงานที่ยากเข็ญมาก แต่ทำไปช่วงหนึ่งก็ชิน และในตอนท้ายเขียนรายงานสรุปได้ง่ายมาก โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานให้กว่าครึ่ง ท่านเรียกระบบงานที่ทำแบบเยอรมันว่า มีการจัดการความรู้ฝังอยู่ในขั้นตอนการทำงาน โดยที่การทำงานแบบไทยไม่มี ผมชี้ให้ท่านเห็นว่า หลายครั้งการทำงานแบบไทยก็มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบ KM แต่ไม่มีส่วน documentation ขั้นตอนการทำงานและผลงาน วัฒนธรรมไทยอ่อนด้านการบันทึกทำเป็นเอกสาร
สัมมาทิฐิของการจัดการคุณภาพคือ ต้องเน้นที่การจัดการผลงาน ให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพ ผลลัพธ์ที่แท้จริงอยู่ที่ผลงาน ไม่ใช่คะแนนจากการประเมินระบบคุณภาพ ต้องใช้เกณฑ์ของระบบประเมินคุณภาพในการปรับปรุงคุณภาพงานเป็นหลัก ไม่ใช่ใช้เพื่อคะแนนเป็นหลัก
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ธ.ค. ๕๙
ไม่มีความเห็น