สัปดาห์ก่อน มีโอกาสไปเที่ยวเชียงราย เพื่อพักผ่อน จริง ๆ ก่อนหน้านี้ ก็ไปมาแล้วหลายรอบ กับเพื่อนหลายกลุ่ม แต่ก็ยังมีสถานที่ที่อยากไป แต่ยังไม่ได้ไปสักที เช่น หอฝิ่น พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ สวนสมเด็จพระศรีฯ และอื่น ๆ
ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องท่องเที่ยว แต่อยากจะพูดถึงความแตกต่างของการใช้ชีวิตของคนเมืองหลวง กับคนต่างจังหวัด ที่ได้ไปพบ ไปสัมผัสมา
วันแรกที่ออกจากกรุงเทพ ซึ่งเป็นตอนเช้ามืด เอารถไปจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ในขณะที่กำลังวนรถเพื่อหาที่จอดนั้น ตามก็เล็งไปเห็นช่องว่างที่จะจอด ก็เตรียมใจแล้วว่าจะเลี้ยวรถ เพื่อจอด ทันใดนั้นก็มีรถอีกคันนึง วิ่งสวนมาในทางย้อนศร แล้วก็แว๊บเข้าไปจอดในที่ที่เราเล็งไว้ จอดเสร็จก็ลงจากรถ แล้วเดินออกไปเพื่อเข้าอาคารผู้โดยสาร ดูจากอาการ คงจะไปรับผู้โดยสาร เพราะไม่ได้ถือของใด ๆ ติดมือมา ในขณะที่ตัวเองกับคนที่นั่งไปด้วยยังงงกับภาพที่เห็น อีกตานึงก็ต้องกุลีกุจอหาที่จอดที่อื่น เพื่อจอดรถ แล้วก็ตาลีตาเหลือกหอบของวิ่งไป check in เนื่องจากจะต้องขึ้นเครื่องให้ทันเวลา
ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องบินจากสนามบินที่มีคนพุกพล่านแห่งหนึ่ง มาถึงสนามบินเชียงราย ซึ่งมีเครื่องบินจอดแค่ลำเดียวกับผู้โดยสารแค่ 100 กว่าคน ความสงบเริ่มเกิดขึ้นกับชีวิต
จากสนามบิน รับรถที่เช่าไว้ แล้วขับไปยัง เชียงแสน ตั้งใจจะไปหอฝิ่น ระหว่างทางเห็นภาพการใช้ชีวิตของชาวบ้าน ยามเช้า ซึ่งแตกต่างกับกรุงเทพโดยสิ้นเชิง รถไม่ติด คนไม่วุ่นวาย รถเมล์ไม่แน่น เป็นปลากระป๋อง วิถีชีวิตค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป
จนกระทั่งเข้า อ. เชียงแสน ถนนเลียบแม่น้ำโขงไปเรื่อย ๆ ระหว่างนั้นสายตาก็มองเห็นร้านกาแฟน่ารัก ในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ก็เลยชวนกันนั่งจิบกาแฟ ชมบรรยากาศ ริมน้ำโขงยามเช้า หลังจากทานอาหารเช้ากันมาจากตัวเมือง ระหว่างนั่งทานกาแฟ ก็ได้มีโอกาสคุยกับพี่เจ้าของร้านกาแฟ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมเล็ก ๆ นั่นด้วย
ได้ความว่า ก่อนหน้านี้พี่เค้าและครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย สามี และลูกสาว ลูกชาย ดำเนินชีวิตและมีธุรกิจก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพมาตลอด จนกระทั่งได้มาที่เชียงแสน และได้ริเริ่มที่จะสร้างร้านกาแฟ รวมทั้งธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก เมื่อทั้งสองอย่างก่อสร้างเสร็จ พี่เค้าก็ย้ายมาอยู่เชียงแสนเป็นการถาวร หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงแสนได้สักพัก แกคงมองเห็นความแตกต่างและแนวทางในการดำเนินชีวิตในอีกรูปแบบ หลังจากนั้นแกก็ขอย้ายลูกชายคนเล็กซึ่งกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนมีชื่อในกรุงเทพ มาอยู่กับแกที่เชียงแสน โดยเรียนอยู่ในโรงเรียนใกล้บ้าน ในขณะที่ลูกสาวยังเรียนอยู่ วัฒนาวิทยาลัยในกรุงเทพ
ชีวิตความแตกต่างของ 2 พี่น้อง เช้าวันจันทร์ คนพี่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อเตรียมตัวและออกจากบ้านก่อน ตี5 ครึ่ง เพื่อไปโรงเรียนให้ทัน 8 โมงครึ่ง ระหว่างนั้นก็ต้องทานอาหารเช้าบนรถ ในขณะทีน้องชายตื่น 7 โมงเตรียมตัว ทานอาหารที่บ้าน และใช้เวลาเดินทางไปโรงเรียนแค่ 5 นาที คุยกันได้พักใหญ่ สมควรแก่เวลาที่จะต้องไปหอฝิ่น และสถานที่อื่นตามที่ตั้งใจไว้ ก็รำลากัน ด้วยความรู้สึกในใจว่า ชีวิตของคนที่เจอในช่วงตอนเช้ามืด กับตอนสาย ๆ นี่มันช่างแตกต่างกัน
วันถัดมา ขณะที่กำลังขับรถลงจากดอยแม่สลองหลังจากขึ้นไปทานอาหาร ประมาณ 5 โมงเย็น ระหว่างทางที่กำลังขับรถตาก็เหลือบไปเห็นกลุ่มเดกนักเรียน ประมาณ 20 คน เดินสวนขึ้นมา ด้วยท่าทาง สนุกสนาม บางกล่มก็แบ่งขนม บางกลุ่มก็เดินไป เล่นไป
ปากก็บอกคนข้าง ๆ ที่ขับรถ ให้กด reset mile เพื่อดูว่าเด็กเหล่านี้เดินทางมาโรงเรียนที่อยู่ห่างจากจุดที่เห็นไปกี่กิโลเมตร จนกระทั่งเจอโรงเรียนที่ใกล้ที่สุด เหลือบดู Mile 4.2 กิโลเมตร ในใจนึก เริ่มเดินออกจากโรงเรียนกันตั้งแต่กี่โมงเนี่ยะ แล้วกว่าจะถึงบ้านคนสุดท้ายนี่กี่โมง ระยะทาง 4 กม.บนเขานี่ ถ้าให้เรา(ซึ่งสูงอายุ)ไปเดิน คงตอนใช้เวลาเป็นวัน
แต่ภาพที่เห็นก็คือเด็กทุกคน ไม่มีใครหน้าตา เหมือนคนกรุงเทพที่นั่งอยู่หน้าพวงมาลัยรถสักคน ทั้ง ๆ ที่ เค้าอาจจะต้องเดินเป็นชั่วโมง นี่แหละความแตกต่างที่สัมผัสได้ในช่วงเวลานึงของชีวิต และแล้วก็ต้องกลับมาสู่ภาพความวุ่นวายของเมืองหลวงเหมือนเดิม ด้วยความตั้งใจว่า สักวันจะทำชีวิตตัวเองให้เหมือนกันชีวิตที่สัมผัสได้ในครั้งนี้
ชีวิตคนชนบท ไม่รีบเร่งและมีน้ำใจ
พี่เปิดเรื่องได้ดีครับ จากลานจอดรถสนามบิน กับภาพที่เชียงแสน
ผมเคยอยากไปทำงานที่กรุงเทพ และอยากเห็นสีแสง ตามความรู้สึกตอนนั้น
หลายเดือนก่อนไปกรุงเทพ (ย้ำว่าหลายเดือนก่อน) ผมรู้สึกไม่สบายครับ อากาศร้อน และไม่คุ้นเคยอาจเป็นเพราะเราเป็นคนบนดอย ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวายไปหมด...รู้สึกเหนื่อยครับ
มีงานประชุมที่กรุงเทพ ก็ขอเปลี่ยนตัวผู้เข้าร่วม หากจำเป็นจริงๆถึงจะไปครับ...ผมไม่เหมาะกับที่นั่น
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็น คุณเอก เป็น ....... คนแรกของพี่เลยนะเนี่ยะ 55555
เย็นนี้ จะไปดำน้ำที่สิมิลัน กลับมา จะเอา "ความสุขใจ" มาฝากค่ะ