ขอ ลงพ่อแม่เป็นพิษ อีกสักครั้ง


เปรียบพ่อแม่เหมือนเป็นอาหาร อาหารมีทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นพิษ

             ขอเสนอเรื่อง  พ่อแม่เป็นพิษ อีกสักครั้งคงไม่ว่ากันนะค่ะ  เพราะวันก่อนพิมพ์เรื่องนี้ค้างไว้ ที่โรงเรียน  ซึ่งควรจะส่งเป็นตอนแรก ก่อน ตอนคาดหวัง                                                     

  ¨     คำนำ หนังสือ พ่อแม่เป็นพิษ  ลูกหลายๆ คน  ที่มีความทุกข์มากจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่มาปรึกษา  อยากให้ช่วยเหลือความทุกข์  และอยากหายจากความโกรธพ่อแม่ด้วย    

     ผมจึงเขียนหนังสือ  พ่อแม่เป็นพิษ  เล่มนี้ขึ้นมาไม่ใช่เพื่อเป็นการโทษพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกไม่เหมาะสมหรอก   แต่เพื่อให้เข้าใจว่า  พิษ  จากพ่อแม่นั้นเกิดได้อย่างไร  มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของลูกอย่างไร  เราจะแก้ไขพิษในตัวพ่อแม่  และล้างพิษในตัวลูกที่ได้รับพิษแล้วนั้นได้อย่างไร¨   อยากจะเปรียบเทียบ  มนุษย์  เป็นดั่ง  อาหาร   อาหาร  ย่อมมีคุณค่าแก่ชีวิต  แต่อาหารทุกอย่างก็เป็นพิษได้  พิษของอาหาร  อาจมาจากลักษณะปกติของอาหารที่เป็นพิษอยู่แล้วในตัว  แต่เรามองไม่เห็นพิษนั้น  พิษอาจมีมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป  ถ้าคนกินมีภูมิต้านทานน้อย  กินเข้าไปก็จะเกิดอาการเป็นพิษได้ง่ายทันที  หรือพิษของอาหารอาจเกิดจากการปนเปื้อนสิ่งแปลกปลอมใหม่ๆ  จากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี  ทำให้เกิดการบูดเน่า  ความเป็นพิษในอาหารก็เพิ่มพูนขึ้น  เมื่อกินเข้าไปจึงเกิดโทษแก่ร่างกายแน่ ¨     เปรียบพ่อแม่ก็เหมือนอาหาร   มีทั้งที่เป็นพิษอยู่แล้วโดยมองไม่เห็นและไม่รู้ตัว  เป็นพิษโดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน  ที่ต้องมีความบกพร่องทุกคน  มากน้อยแตกต่างกัน  หรือความเป็นพิษนั้นขยายตัวมากขึ้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป  หรือ  ได้รับพิษจากสิ่งแวดล้อมภายนอก  จากความรู้  ความเชื่อ  และตัวอย่างผิด ๆ  ทำให้มีความคิดที่ผิด  มีความหลงผิด  ทำให้ปริมาณพิษมีมากขึ้น¨     เมื่อมาเลี้ยงลูกจึงเกิด  พิษ  กับ  ลูก  มากขึ้น    ทำให้ลูกไม่พัฒนา ไม่บรรลุวุฒิภาวะ ไม่เป็นสุข มีบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสม  ขาดกำลังใจ  และแรงบันดาลใจ  มีปมด้อยอย่างที่ไม่ควรเป็น                   สิ่งเหล่านี้มีทั้งที่เกิดโดยความตั้งใจ  รู้ตัว  (ทำไปเพราะคิดผิด  หลงผิด  มีอคติ  หรือมีทิฐิ  โกรธ)  หรือโดยความไม่ตั้งใจ  ไม่รู้ตัวของพ่อแม่   บางคนแสนจะรักลูก แต่ตามใจลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ทำให้ลูกขาดวินัยในตัวเองเกิดเป็นพิษแก่ลูกได้   บางคนไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแม่เดิมมาก่อน  ทำให้รักลูกตัวเองไม่เป็น  ปากบอกว่ารัก   แต่พฤติกรรมนั้นตรงกันข้าม  ก็เกิดเป็นพิษกับลูกได้   หรือบางคนมีความเจ็บป่วยทางจิต  หรือบุคลิกภาพ  ทำให้เกิดเป็นพิษแก่ลูกที่ตนเองเลี้ยงดูอยู่ได้   จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับพิษที่เกิดจากพ่อแม่  หลายคนชอบพูดกันว่า  พ่อแม่ทุกคนรักลูก  ยอมตายเพื่อลูกได้  โดยเฉพาะคนที่ไม่รักลูกจะชอบพูดกันมาก  เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าเขารักลูกมากเมื่ออ่านเรื่องนี้แล้วจะรู้ว่า

      นั่นเป็นความจริงบางส่วน  หรือเพียงพูดเพื่อให้สบายใจ เป็นการแก้ตัว  เอาตัวรอดของพ่อแม่ที่ไม่รักลูก  หรือไม่รู้วิธีสั่งสอนลูก  เหตุการณ์เหล่านี้นับวันจะมีมากขึ้น ๆ

                หนังสือเล่มนี้ไม่ได้มีความปรารถนาจะจับผิดวิธีการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่  และไม่ปรารถนาจะให้ลูกเกิดอคติฝังใจโกรธหรือโทษพ่อ  แม่  ที่เลี้ยงดูมาแบบไม่ถูกต้อง  แต่ต้องการจะบอกถึงวิธีการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะควรทั้งหลาย  ที่เกิดจากการที่พ่อแม่เป็นพิษ  เช่น  การไม่รักลูก  ไม่พร้อมจะมีลูก  หรือรักแบบผิด ๆ  แสดงออกผิด ๆ  ด้วยความไม่รู้  หรือตามแบบอย่างที่ผิด ๆ มา  รวมทั้งผลลัพธ์ที่ไม่ดีที่จะเกิดแก่ลูกในแง่ของอุปนิสัย  บุคลิกภาพ  วุฒิภาวะ  อารมณ์  ปมด้อย  การขาดกำลังใจ  แรงบันดาลใจ  ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำ ๆ  เป็นวงจรของการอบรมพัฒนาเยาวชนที่ไม่ได้ผลดีตลอดมาแต่คนไม่กล้าพูดถึง  และในเล่มยังได้บอกถึงวิธีแก้ไขความคิด  ทัศนคติที่ไม่ดีที่เกิดกับตัวลูก  และพ่อแม่  เพื่อเป็นการล้างพิษที่เกิดขึ้นกับตัวเขา  จะได้ไม่โกรธหรือโทษพ่อแม่ต่อไป¨     พ่อแม่ที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะได้รู้ตัว  ระวังตัว  ปรับตัวให้ดีขึ้น และไม่ทำให้เกิดพิษแก่ลูกมากขึ้น               ส่วนลูกที่ได้รับพิษแล้วนั้น  ก็จะรู้วิธีพัฒนาตัวเองทั้งด้านความคิด  และพฤติกรรมให้เหมาะสมต่อไป  ไม่โกรธ  โทษพ่อแม่  และไม่นำสิ่งที่ไม่ดีไปใช้แก่ลูกหลานของเขาต่อไป  เป็นการตัดตอนไม่ให้เกิดวงจรรักลูกแบบไม่สร้างสรรค์ในขึ้นลูกหลานของเขาต่อไป   จะเกิดผลดีแก่ความสัมพันธ์และสถาบันครอบครัว  พ่อ  แม่  ลูกต่อไป            

ตัวอย่างที่อยากนำเสนอ คือ  ตอน พ่อแม่ปล่อยปละละเลยลูก

 ความเฉยเมย  ไม่สนใจ  ปล่อยปละละเลยลูก  ถือเป็นการทำร้ายจิตใจได้แบบหนึ่ง  ครอบครัวที่มักปล่อยปละละเลยลูกมากไป  มักเป็นพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา  ทำงานมาก  หรือฝากลูกไว้กับคนอื่นให้ดูแล  เช่น  ญาติ หรือคนใช้  ทำให้ขาดความสัมพันธ์ดี ๆ  ที่ควรมีต่อกัน  เช่น  ความรัก  ความศรัทธา  การสร้างวินัยให้ลูก  และการสร้างความภูมิใจตามความเป็นจริงให้ลูก  ในครอบครัวที่มีปัญหาเหล่านี้  มักพบได้ในครอบครัวนักธุรกิจ  พ่อค้า  นักสังคมสงเคราะห์ 

¨     ตัวอย่างเรื่อง ขอทาน    

             เป็นเหตุการณ์จริงทีเกิดขึ้นนานแล้วในอเมริกา  ในมหานครนิวยอร์ก  ที่ทำให้สังคมตะลึง  มีเด็กวัยรุ่นชาย  3  คน  ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ  Central Park  กลางกรุงนิวยอร์ก  เขาเดินมาพบขอทานคนหนึ่งที่ขาพิการนั่งขอทานอยู่     ทั้งสามคนเดินออกจากสวนสาธารณะไป  และกลับมาหาขอทานคนนั้น  พร้อมทั้งกระป๋องน้ำมันเบนซิน   เขาราดน้ำมันเบนซินไปที่ขอทานและจุดไฟเผา  แล้วทั้งสามคนก็ยืนมองภาพขอทานตัวหงิกตัวงอด้วยความร้อนและเจ็บปวด  จนตายไปต่อหน้าต่อตา  ด้วยสีหน้าท่าทางขำขันและสนุก  เด็กทั้งสามถูกจับตัวและได้รับการวิเคราะห์ทางจิตจากนักจิตวิทยาและนักสังคมสงเคราะห์  จึงทราบประวัติว่า  เด็กทั้งสามคนเป็นลูกนักธุรกิจใหญ่  ฐานะร่ำรวยมาก  พ่อแม่เลิกกัน  เด็กอยู่กับพ่อซึ่งทำงานหนักมาก  เด็กทั้งสามจะมีสภาพครอบครัวและฐานะคล้าย ๆ  กัน  เขาต่างรู้สึกเหงา  จึงคบหาเป็นเพื่อนสนิทกัน  ลองทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตสนุกและไม่เหงาเท่าที่อำนาจเงินจะทำได้  บ้านที่อยู่อาศัยของวัยรุ่นทั้งสาคนนั้นมีขนาดใหญ่โตสะดวกสบาย  มีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายครบครัน     แต่ทั้งพ่อและแม่ไม่มีเวลาให้เขา    เขาจึงนัดกันเที่ยวไปวัน ๆ  จนมาพบขอทานพิการนั่งขอทาน  เกิดความคิดว่า  ถ้าหากขอทานพิการโดยไฟเผาจะมีร่างกายหงิกงอน่าสนใจแค่ไหน  เพราะขอทานเดินหนีไม่ได้  เขาจึงรวมหัวกันสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้นขึ้น                ข่าวนี้ฮือฮากันไปนาน  เตือนให้รู้ถึงความห่างเหินในครอบครัว  ทำให้เด็กลงมือทำพฤติกรรมผิด ๆ  เพื่อช่วยตัวเองให้ลดความเหงา  โดยไม่เกรงกลัวกฎเกณฑ์สังคมและกฎหมาย 

¨     ลูกสาวขอเป็นโสเภณี

                เหตุเกิดในประเทศเรานี่แหละ  มีโสเภณีที่สมัครใจทำงานบริการทางเพศหลายรายให้สัมภาษณ์ว่า  ต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตตามลำพังตั้งแต่เล็ก ๆ  เพราะพ่อแม่ทำงานหนัก  บางคนเป็นคนงานก่อสร้างต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ  บางคนเป็นกรรมกรหาเช้ากินค่ำเด็กเหล่านี้ห่างเหินพ่อแม่  ไม่มีคนอบรมสั่งสอน  เพียงแต่การมีอาหารประทังชีวิตก็ยังลำบาก   เมื่อโตขึ้นจึงเรียนรู้วิธีเอาตัวรอด  ไม่อยากเป็นขโมยเพราะกลัวถูกำจับติดคุก  จึงสมัครใจเป็นโสเภณีขายบริการทางเพศตั้งแต่อายุน้อย ๆ  และส่งเงินไปช่วยพ่อแม่ด้วย  เธอเคยบอกเรื่องนี้แก่พ่อแม่  และถามพ่อแม่คิดอย่างไร    พ่อแม่บอกว่า  ก็โตแล้ว  คิดเอาเองก็แล้วกัน  พ่อแม่ไม่ว่าอะไรหรอก    เอาซิ!  เธอก็เลยถือว่าเป็นคำอนุญาต  และยึดอาชีพโสเภณีต่อไป   พ่อแม่แบบนี้ขาดทั้งความรักเชิงคุณธรรม  และไม่ใส่ใจลูก  ปล่อยปละละเลยลูกให้เติบโตตามยถากรรมต่อไป    ปล่อยให้คิดเอาเองได้อย่างไร  ลูกสาวเพิ่งอายุ  16  ปี

        ¨     อ่านแล้วกลับมาคิดถึงตัวเรา  เราจัดเป็นพ่อแม่ที่เป็นอาหารทิพย์    เลี้ยงลูกให้ลูกเจริญเติบโต     หรือเป็นพ่อแม่ที่เป็นอาหารพิษสำหรับลูก   เป็นพ่อแม่ที่ปล่อยปละละเลยลูก ทำแต่งาน  หาแต่เงิน มีเวลาให้เจ้านาย   แต่ไม่มีเวลารับฟังปัญหา ลูก  เรื่องความทุกข์ของลูก  ไม่มีเวลาแม้แต่จะรับฟังเรื่องความพากภูมิใจของลูก    เวลาที่ลูกต้องการ  ลูกไม่ได้จากพ่อแม่  ลูกเลยวิ่งไปหาจากคนอื่น  ตามที่เขาต้องการ                   หากคุณสนใจหนังสือเล่มนี้   ผู้เขียนคือ ศ.ดร.นายแพทย์วัชระ  นาควิทยา ค่ะ                   

หมายเลขบันทึก: 61619เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2006 13:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2012 21:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

เจ้แมวเยี่ยมมาก คนเรานี้ ความสมบูรณ์ทางอารมณ์เป็นเรื่องใหญ่ บางคนเรียกว่า วุฒิภาวะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Maturity มันเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้เนอะ

ให้รางวัลเจ้ เลือกให้เป็น บล็อกคุณภาพเยี่ยม ครับเป็นมารยาทที่ดียิ่งที่จะกล่าวถึงที่มา

อ่านแล้ว ดีมากค่ะ จะจำไว้เป็นตัวอย่างในการอบรมหลานด้วยค่ะ
นู๋ไอออนเอสทูโอ ^_^

โห...อาจารย์เก่งมากเลยอ่ะ ขอบคุณสำหรับบทความนี้นะค่ะ ถึงจะยังเรียนอยู่แต่พอได้อ่านแล้วซึ้งสุด ๆ เลยค่ะ เข้าใจชีวิตมากขึ้น อยากให้อาจารย์นำบทความประมาณนี้มเผยแพร่อีกเพื่อเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไปค่ะ อาจารย์สู้ๆๆๆ จะคอยติดตามอ่านนะค่ะ

  • พี่แมวคะ
  • อย่างนี้แหละ "พ่อแม่รังแกฉัน"ใช่ไหมคะ
  • ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆมาแบ่งปันค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท