ไออุ่นในลมหนาว
ก้าวผ่านหน้าฝน จนลมหนาวเริ่มขยับเขยื้อนมาลูบไล้ผิวกายเข้าแล้ว คนในเมืองกรุงอาจจะยังไม่ได้รับรู้ แต่สำหรับคนต่างจังหวัดนั้น ขณะนี้กลิ่นข้าวเกี่ยวหมาดใหม่ คละเคล้ากลิ่นควันไฟคุกรุ่น กับอากาศหนาวเหน็บเป็นเสนห์ที่เข้ามาย้ำเตือนถึงฤดูแห่งการนั่งกินข้าวหลามรอบกองไฟพูดคุยหยอกเย้า รวมไปถึงฤดูที่เรียกกันว่า ฤดูหาเนื้อมาห่มเนื้อเพื่อหายหนาว แม้อากาศในเมืองกรุงวันนี้จะยังไม่เยียบเย็นเท่ากับห้องแอร์ ที่อบร่ำผิวกายของใครหลายคนก็ตาม แต่ก็เริ่มมีสายลมนำทางให้อากาศเย็นเดินทางตามมาได้ไม่ยาก และแล้วเทศกาลแห่งการหาไออุ่นให้กับตัวเอง ก็เริ่มขึ้น พวกเราส่วนมากที่มีบ้านอยู่ หรืออย่างน้อยก็มีที่พักที่เป็นส่วนตัว คงอดใจรอแทบไม่ไหวกับการที่จะได้มีโอกาสตระกองกอดคนใกล้ตัวเพื่อสัมผัสไออุ่นของกันและกัน เพราะเรามีพื้นที่ ที่เป็นของเรา มีโลกส่วนตัวที่เป็นสัดเป็นส่วน ไม่มีใครสามารถเข้ามาก้าวก่ายได้ แต่กับคนบางกลุ่ม บางพื้นที่ ที่ต้องนอนท่ามกลางลมหนาว มีเพียงผ้าผืนบางๆคลุมร่าง จะไม่ให้มีความต้องการไออุ่นเลยจะเป็นไปได้อย่างไร จริงไหม?
ถ้าหนาวเนื้อไม่ห่มเนื้อแล้วเมื่อไรจะหายหนาว คำพูดที่ฟังแล้วอาจจะว่าโบราณไปสักนิด เลี่ยนไปสักหน่อย แต่ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ก็ยังคงฟังดูน่ารักน่าหยิกดีอยู่ไม่เปลี่ยน และก็ตรงกับบรรยากาศในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี ในพื้นที่สาธารณะอย่างเช่นสนามหลวงพวกเราคนทำงานในพื้นที่ได้เห็นการกอดก่ายกัน ตามม้านั่งท้าทายสายลมที่พัดเอื่อยเรื่อยมาทักทายอยู่บ่อยๆ นั่นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำหรับสถานที่แห่งนี้ รวมไปถึงการละเล่นของผู้ใหญ่อย่างหนึ่งคือ “ผีผ้าห่ม” เชื่อว่าสำหรับหลายคนคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้ยุ่งยาก ใช่แล้วครับการร่วมกิจกรรมรักภายใต้ผ้าห่มคลุมกายผืนเดียวกัน ส่วนสถานที่ก็ไม่ต้องยุ่งยากหาให้เหนื่อย ก็พื้นที่กลางท้องสนามหลวงนั่นเลย หากใครไปเดินเล่นในท้องสนามหลวงยามกลางคืน คงได้เห็น (หาสังเกต) มาบ้าง น่ารังเกียจหรือไม่ น่าอับอายหรือปล่าว ผมบอกไม่ได้ว่าความรัก การร่วมรักเป็นเรื่องน่ารังเกียจรึปล่าว ผมรู้เพียงว่าการร่วมรักเป็นธรรมชาติ การมีความรักทำให้เรามีความสุข ส่วนยเรื่องความน่าอับอายที่หลายคนพูดถึงนั้น เป็นเรื่องที่พูดได้ยากความอับอายอาจพูดกับคนส่วนมากได้ แต่ใครบางคนที่มีชีวิตอยู่กลางสนามหลวงซึ่งเป็นทั้งบ้าน ที่นอนที่ทำมาหากิน จะให้ไปทำกิจกรรมกันที่ไหน การตัดสินด้วยสายตาของคนนอกอาจจะดูว่า เป็นเรื่องน่าละอาย ในขณะลงพื้นที่ผมเคยได้ยินคำพูดถึงคนเหล่านี้ในทำนองเหยียดหยามมามากพอสมควร แต่เรามองเค้าอย่างเข้าใจมากน้อยแค่ไหน มองเข้าไปถึงความจำเป็นในชีวิต มองไปถึงข้อจำกัดในชีวิตของพวกเค้าบ้างหรือปล่าว มีใครบ้างที่เลือกได้แล้วจะมาทำแบบนี้ ผมรู้เพียงว่าภาพของการร่วมรักกลางท้องสนามหลวง ยังดูดีกว่าการเอามีดยาวไล่ฟันกัน การทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน อย่างน้อยการกระทำแบบ xxx อย่างนี้ก็ไม่ไปรบกวนใคร (ถ้าเราไม่ไปแอบดูเขา) หรือที่สำคัญการกระทำแบบนี้ไม่ได้ทำให้ใครตาย (นอกจากหัวใจวาย)
ไม่รู้ว่าใครมีความเห็นในเรื่องราวของการร่วมรักอย่างไรบ้าง แต่ในความเป็นจริงเรื่องเหล่านี้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์อย่างที่ได้บอกไว้แล้วในตอนต้น ที่คนทั่วไปยังไม่เข้าใจก็เป็นเพียงความเคยชินของตัวเองว่า การเล่นบทรักระหว่างคู่รัก จะต้องอยู่ในพื้นที่เฉพาะตัวของตัวเอง หากเพียงพื้นที่เฉพาะตัวของพวกเค้ามีเพียงเสื่อผืนเดียว แล้วจะให้เค้าไปที่ไหน หรือไม่ต้องมีความรักเพืยงเพราะพวกเค้าไม่มีบ้านอยู่ ภาพเหล่านี้ คือภาพสะท้อนสภาพความเป็นอยู่ของก้อนเนื้อมีลมหายใจ ที่พวกเราเรียกว่าคน ควรจะห้ามไม่ให้พวกเค้ามีความรัก หรือเริ่มมองถึงสภาพความเป็นจริงแล้วแก้ไขคุณภาพชีวิตของคนไร้ที่ยืน แม้ริมชายขอบของสังคม หันมองรอบข้างสักนิด ลองเดินข้ามสะพานสายอิสรชนสายนี้เค้าไปเรียนรู้พวกเค้าแล้วร่วมกันช่วยเหลือเท่าที่พวกเราทำได้ดีไหมเพราะพวกเราชาวอิสรชนพร้อมที่จะเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างสังคมอุดมโอกาสมาสู่สังคมไร้ที่ยืน แม้ริมชายขอบของสังคม
หากวันนี้ใครมีโอกาสเดินเล่นสนามหลวงยามเย็นอย่าตกใจผีผ้าห่มกลางสนามหลวงนะครับ พวกเค้าไม่ได้มาหลอกหลอนใคร พวกเค้าเพียงกำลังมีความสุขกับความรักเฉพาะตัวอยู่เท่านั้น โดย กสิณ กสิกรรม-ขอบคุณที่เปิดพื้นที่ใต้ผ้าห่มของคนชายขอบให้เห็นสาระอีกด้านนะครับ นี่อาจจะเป็น "สุขภาวะ" แบบหนึ่งในพื้นที่จำกัดจำเขี่ยของพวกเขา ไม่แปลกหรอกครับตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีเนื้อหนังมังสาอารมณ์ความรู้สึก หากรัฐหรือโครงการต่างๆจะเข้าไปมีส่วนร่วม ประเด็นที่ผมพอมองเห็นก็น่าจะเป็นการจัดเตรียมเรื่องความปลอดภัย และ safe sex หรือให้ความรู้ที่จำเป็นเพื่อการมีเซ็กซ์อย่างรอบคอบปลอดภัย อันนี้ ไม่รู้ว่ามีใครไปทำหรือยังนะครับ