ผมชอบวาดรูปภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรที่ขั้วโลกเหนือเพื่ออธิบายเรื่อง competency(สมรรถนะ)ของคนใน 2 มิติ ตามแนวคิดของแมคคลีลแลนด์ คือ
1. ส่วนบนที่เป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำออกมาประมาณ 10-20 %ของภูเขาน้ำแข็งทั้งหมด ซึ่งเปรียบได้กับบุคลิกภายนอกของคน อันเป็นภาพลักษณ์ด้านกายภาพที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย การพูดจา แสดงออกทางพฤติกรรมต่างๆ รวมทั้งด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะ ความเก่งทั้งหมดก็อยู่ในส่วนนี้ ซึ่งในสังคมทั่วไป(โดยเฉพาะระบบราชการไทย) จะประเมินคนในส่วนนี้ในการรับคนเข้าทำงาน การให้ผลตอบแทน ให้รางวัลต่างๆ กันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประเมินไม่ยากนัก และเห็นได้เด่นชัด
2.ส่วนล่างของภูเขาน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้พื้นน้ำลงไปซึ่งมีประมาณ 80-90 % ของภูเขาน้ำแข็งทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนอำพราง มองไม่เห็นเด่นชัด (ที่เรือไททานิกชนแล้วอับปางลง) เปรียบได้กับคุณลักษณะ หรือคุณธรรมจริยธรรมของคน ซึ่งประเมินได้ยาก เป็นเรื่องที่สั่งสมกันมา ต้องอาศัยเครื่องมือและวิธีการพิเศษ และดูกันนานๆด้วยใจที่เป็นกลางจึงจะวัดได้ แต่ส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่มีผลต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองและการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมระยะยาว
แนวคิดที่ได้จากแผนภาพภูเขาน้ำแข็งสามารถเชื่อมโยงเพื่ออธิบายได้อีกหลายเรื่องราว เช่น ปัญหาในเชิงบริหาร ส่วนที่โผล่พ้นน้ำคือ ปัญหาเด่นชัด ส่วนที่อยู่ใต้น้ำคือปัญหาซ่อนเร้นหรือปัญหาอำพรางที่นักบริหารต้องตระหนัก นอกจากนี้ยังอธิบายเรื่องประเภทความรู้ในกระบวนการ KMได้อีกว่า ส่วนยอดคือ ความรู้เด่นชัด (explicit knowledge) ส่วนใต้พื้นน้ำคือ ความรู้ฝังลึก (tacit knowledge) เป็นต้น
ในสังคมไทยที่ค่อนข้างมองอะไรแบบฉาบฉวย จึงเปิดโอกาสให้คนที่ ฉลาด(เก่ง)แต่ขาดด้านคุณธรรม สามารถสร้างภาพ แอบแฝง อำพราง เพื่อความอยู่รอดของตนเองและพวกพ้อง ให้เจริญก้าวหน้า และสามารถแสดงภาพลักษณ์ภายนอกได้อย่างสง่างาม สืบทอดกันมายาวนาน จนกลายเป็นค่านิยมให้ใครๆอยากจะเป็นบ้าง
คนในราชการก็มีนโยบายกันมาทุกยุคทุกสมัยเพื่อพัฒนาบุคลากรในหน่วยงานด้านคุณลักษณะส่วน 80-90 %ด้วยหลักสูตรที่สวยหรูต่างๆ และจ้างวิทยากรจากสถาบันระดับมืออาชีพมาบรรยาย ให้ความรู้ ความตระหนักกัน เช่น “การพัฒนาจิตสำนึก.........” “การพัฒนาภาวะผู้นำ........” “ธรรมาภิบาลสำหรับ......” “คุณธรรมจริยธรรมสำหรับ........”ฯลฯ แถมท้ายก็ไปดูงานต่างประเทศ(เป็นธรรมเนียม) ตอนอบรมก็มีคนเข้าๆออกๆห้องประชุม พอกลับไปหน่วยงานก็เป็นเหมือนเดิม และการประเมินก็ไม่มีใครไปลงลึกให้เกิดศัตรู พอมีงบประมาณมาครั้งใดก็จะคิดหลักสูตรอบรมทำนองเดียวกัน ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยคิดว่าเป็นการให้รางวัลมากกว่าการไปพัฒนาบุคลากร และผู้ที่ได้รับอานิสงส์นี้ ก็มักจะเป็นกลุ่มผู้บริหารมากกว่ากลุ่มผู้ปฏิบัติงาน
ผมคิดว่าการให้ความสำคัญเรื่อง “คุณธรรมนำความรู้” เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่คงจะเหนื่อยกันอีกนานทีเดียวที่จะหากลวิธีกล่อมเกลาให้คนในสังคมที่ยังบกพร่องส่วนของภูเขาใต้น้ำ 80-90% ให้สามารถพัฒนาไปพร้อมกับส่วนยอด 10-20% ได้ (แต่ก็จำเป็นต้องทำ)
ท่านมีเคล็ดลับอะไรดีดี ที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ เล่าให้ฟังบ้าง?
พยายามฝึกหัด กล่อมเกลาเด็กๆไปตามวัย พื้นฐานของเด็กแต่ละคนต่างกัน ถึงจะเหนื่อยก็ต้องทำ ทอดทิ้งไม่ได้
พูดถึงเรื่องนี้นึกถึง อ.สงบ อินทรมณี ผู้ที่ศึกษาคร่ำหวอดและเห็นคุณค่าเรื่องcompetency(สมรรถนะ)พยายามผลักดันให้นำมาใช้ ที่ ก.ค.ศ. แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จ ผู้บริหารยังไม่ให้ความสำคัญจริงจัง
วันนี้ได้คุยกับ อ.สงบ ทราบว่า เกาหลี ฟิลิปปินส์เชิญ อ.สงบ ไปนำเสนอเรื่องนี้แล้ว เขากลับเห็นความสำคัญกว่าคนในบ้านเรา
สภาพบ้านเมืองขณะนี้ อาจทำให้จิตใจคนเตลิดเปิดเปิง ฟุ้งซ่านเปิดภาคเรียนคงต้องตะล่อมให้เด็กๆหันหาความสงบ สร้างหลักยึดเหนี่ยวที่ดีแก่เขา