ในการจัดการความรู้เพื่อคุณภาพชีวิตนั้น จะต้องเริ่มต้นด้วยการคิดนอกกรอบ ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับคนทั่วไป เพราะการอยู่นอกกรอบนั้นเปรียบเสมือนกบอยู่นอกกะลา มีอัตราเสี่ยงต่ออันตรายภายนอกมากมายเหลือเกิน สู้อยู่ในกะลาไม่ได้ ตัวอย่างง่ายๆ ก็ได้แก่ การปฏิบัติของเกษตรกรโดยทั่วไป ที่มักจะทำตามสิ่งที่เคยทำมาก่อน ทั้งๆที่อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ โดยเป็นผลให้ไม่มีการใช้ความรู้ใหม่ หรือสร้างความรู้ใหม่ ฉะนั้น ในเบื้องต้นจึงมีความจำเป็นจะต้องคิดนอกกรอบ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้กะลานั้นใหญ่กว่าเดิม ขยายไปเรื่อยๆ จนกะลาแตกไปเอง กระบวนการทำเช่นนี้อาจจะมีความเจ็บปวดและรำคาญใจบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งแตกต่างจากการอยู่ในกะลา ที่ไม่ต้องคิดอะไร ทำไปเรื่อยๆ หรือจะเรียนรู้ก็เรียนรู้ก็แค่ในกะลา ไม่ต้องมองออกนอกกะลาว่า ข้างนอกเขามีอะไรกัน
ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ประสบผลสำเร็จในกะลา หรือแม้กระทั่งคนที่ยังไม่ประสบผลสำเร็จในกะลาก็ตาม ที่มัวแต่สาละวนคิดแก้ไขปัญหาเฉพาะของตนเองในกะลาเท่านั้น ทั้งๆ ที่เมื่อออกนอกกะลาแล้วจะมีทางเลือกในการทำงาน และการแก้ไขปัญหาที่กว้างไกลเกิดผลกระทบมากกว่ากันมากมาย ไม่เฉพาะในระดับครัวเรือนของตนเอง แต่อาจจะเกิดทั้งในระดับชุมชนและในระดับประเทศก็ได้
สาระสำคัญประการหนึ่งของการออกนอกกะลา ก็คือ การมองภาพให้กว้าง เชื่อมโยงกับสังคมภายนอก ไต่ระดับทางความคิด ประสานกับชุมชนอื่น ทั้งราชการ การเมือง ธุรกิจเอกชน และภาคประชาชนต่างๆ การคิดนอกกะลานี้ จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้งในส่วนของเราเอง สังคม ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม แต่ก็มักจะเป็นปัญหาในเบื้องต้นเท่านั้น อันเนื่องมาจากความไม่เคยชิน
ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราทุกคนลองมาช่วยกันคิด สร้างความรู้เพื่อชีวิต โดยการออกนอกกะลากันเถอะ อาจจะมีอันตรายบ้างในเบื้องต้น แต่ระยะยาวดีกว่าแน่นอน
สวัสดีครับ ท่าน อ.แสวง
ผมได้มีโอกาสไปพูดคุยกับ คุณครูนงในบทความนี้ครับ http://gotoknow.org/blog/nfeteacher/118203
ว่าด้วยเรื่อง การถอดหมวกคุยกันนะครับ (ไม่เกี่ยวกับรูปในบล็อกของอาจารย์ที่สวมหมวกอยู่นะครับ)
สวัสดีครับคุณครู
บทเรียนของผมคือการพบปะพูดคุยกันแบบไม่เป็นทางการ ที่ผ่อนคลาย สบายๆ ถอดหมวกพูดคุยกัน มันได้อะไรดีๆเกินคาดเสมอ
สบายดีไหมครับ ผมชอบคำว่า
ขอบคุณมากๆ นะครับ
นอกจากถอดหมวกแล้ว น่าจะเปิดกะโหลกคุยกัน จะได้ความรู้ใหม่เพียบครับ
หมวก= หน้าที่
กะโหลก= อัตตา
ครับ