ประสิทธิ์ บุญหล้า : วันสุดท้าย


เรื่องของผมเองเป็นผมกับพ่อ พึงเสียไปได้ประมาณปีหนึงแล้ว เรื่องมีอยู่ว่าผมเห็นพ่อป่วย ป่วยมาเรื่อยๆตั้งแต่ผมอยู่กรุงเทพ ได้แต่ถามข่าวเรื่องพ่อ ไม่มีโอกาสเห็นกับตาตัวเอง จนผมตั้งหลักตั้งตัวร่วมกับพี่ชายร่วมทุนก็เลยได้มาเปิดร้านขายอูคูเลเล่ (ผมเป็นนักดนตรีเล่นกลางคืน) ที่ห้างเชนทรัลอุดร ใกล้บ้านหวังจะได้มาดูแลพ่ออย่างตั้งใจ สุดท้ายทุ่มเทไปกับงานเสียเวลาไปกับการจัดการร้านเรื่องกำไรขาดทุน มากกว่าที่จะมาดูแลพ่อจริงๆ

ผ่านไป 2 ปี ผมปิดร้านลง เพื่อที่จะมาอยู่กับพ่อ แต่พออยู่มันก็มีแต่อัตตา ระบบแผนการใช้ชีวิตไม่มี คือนอนกินอยู่กินเฉยไม่ได้ มีแต่รายจ่ายไม่ได้ อยู่ไม่ได้ค่ายารักษาไม่มี ค่ารถรับจ่างไม่มี ไม่มีค่าข้าวสาร ค่าน้ำก็มาไฟก็มาตัด ผมก็อีโก้ขึ้น(อาการเดิมคือต้องค้นหาคำตอบ) ผมออกจากบ้าน หาป่าอยู่ อยากรู้ว่าจะอยู่อย่างไงถ้าไม่มีเงิน ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีประปา ผมใช้ชีวิตสร้างระบบชีวิตใหม่ จริงๆเก่าครับ คือความพอเพียง แล้วเราก็ได้พอใจ พอใจที่มีผักผลไม้มีไข่ไก่ไข่เป็ด กินเป็นอาหาร ภูมิใจได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตามหา

ผ่านไปสองปีกับการปลูกสร้างป่า ผมกลับบ้านเพื่อจะอธิบายหนทางหรือระบบชีวิตที่ถูกต้องคือความพอเพียง พ่อชอบและเริ่มเรียนรู้เข้าใจ เข้าถึง ธรรมชาติ พ่อชอบปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ ให้อาหารเป็ดไก่ ให้อาหารปลา ทำเป็นประจำ จนเป็นสิ่งที่ต้องทำ ผมก็ดีใจพ่อเข้าใจระบบพอเพียง ผมก็เริ่มมีเรื่องคุยกับพ่อมากขึ้นจนถึงเรื่องความตาย

หลังจากพ่อป่วยร่วม 5 ปี ตับไตถุงน้ำดี มีแต่มะเร็ง ผมถามพ่อมาตลอดและถามหมอตลอดที่ไปหาว่าพ่อเป็นอะไร ทุกครั้งที่ผมได้ฟังจากปากหมอและปากพ่อคือ โรคกระเพาะ และลำไส้อักเสบ หลังจากที่พ่อเริ่มทำอะไรไม่ค่อยได้ผมก็เริ่มคุยเรื่องงานศพ ถามพ่อจัดงานวัดไหนดีพ่อชอบแบบไหนเอายังไงดี คุยกันอย่างเฮฮา พ่อบอกอย่าไปจัดใหญ่โตเอาแบบธรรมดา เผากลางแจ้งเหมือนพระก็ดี ไม่มีดนตรี ไม่มีเหล้าเบียร์ ไม่มีการพนัน เอาเงียบ สงบๆ อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน พ่อย้ำและพูดบ่อยว่า อย่าไปทำให้ใครเดือดร้อน

อาทิตย์สุดท้ายก่อนพ่อเสียชีวิต วันพุธบ่าย 3 ไปโรงบาลนอนให้น้ำเกลือ 1 ชั่วโมงและฉีดยา ถามหมอ หมอบอกลุงแกเป็นโรคกระเพาะ ลุงแกไม่กินอาหารสินะ ผมได้แต่ยืนฟังแบบคนไม่มีความรู้ หวังจะได้ความรู้ไปคิดต่อเพื่อแก้ไข กลับบ้านมาวันแรกเริ่มหนักขึ้นเรื่อยวันสองวันสามเริ่มขวัญหลุด เบลอ พุดไม่รู้เรื่องสนทนาไม่เข้าใจ วันสี่ห้าหกเริ่มกินน้ำกินอะไรก็ไม่ลง ตัวเริ่มเย็นเริ่มแข็ง เริ่มอุจจาระปัสสาวะราด ผมบอกแม่เตรียมใจ

สุดท้ายแล้วพ่อเริ่มคุมตัวเองไม่ได้ วันที่เจ็ดอาการหนักจนหมดสภาพลูกผู้ชาย พ่อทรุดหนักชักสำลักน้ำลาย พาส่งโรงพยาบาลไปเจอหมอผู้หญิงคนเดิม เข้าห้องฉุกเฉิน หมอถามมาทำไมอีกลุง ก็หมอบอกแล้วไงเป็นโรคกระเพาะกินอย่าเดียวก็หาย ยาให้ไปนะสองอาทิตย์นี่อาทิตย์เดียวกลับมาอีกแล้ว ผมยืนอยู่ข้างๆฟังๆ ผมถามนอกจากให้น้ำเกลือผมขอตรวจเลือดเอ็กซเรย์ได้ไหม หาโรคมะเร็งหรือหาสาเหตุที่เป็นได้ไหม มันโรคกระเพาะมาห้าปีนี่ไม่น่าใช่ หมอบอกเดียวก็ออกเวรแล้วรอหมอคนใหม่มาแล้วกัน ให้พ่อคุณนอนให้น้ำเกลือไปก่อนนะน่าจะหมดพอดี ถ้าหมดแล้วจะกับบ้านก็ได้นะ

ผมรอจนสองทุ่ม หมอผู้ชายเดินมาคุยกับแม่ ใช่ญาติพ่อไหม หมอมาถามให้อนุญาตตรวจเลือดหาโรค ลุงแกอาการแปลกและทรุดหนักมากจะรีบตรวจให้ ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง หมอผู้ชายกลับมาบอกว่า ลุงแกเป็นมะเร็งถุงน้ำดี ตับบวมมากแล้วก็ไตวาย คุณแม่ทำไมไม่พามาหาหมอแต่เนิ่นๆนี่มันระยะสุดท้ายแล้ว ถ้ารอดอีกสองวันหมอจะผ่าตัดให้นะครับ

ผมอึ้ง พ่อเป็นมะเร็ง ไตวายระยะสุดท้าย ผมนั่งเฝ้าและถามพ่ออยู่เรื่อยๆว่าพ่อกลัวตายไหม พ่อตอบไม่ ไม่นานผมก็ถามอีก พ่อ พ่อกลัวตายไหม พ่อตอบ ... พ่อไม่กลัว มึงอย่าถามบ่อยกูเหนื่อย ผมถามแถบทุกชั่วโมงจากสี่ห้าทุ่ม รู้เรื่องมะเร็งผมก็เฝ้าตลอดถามตลอด แต่ก็ไม่กล้าบอกพ่อว่าเป็นโรคมะเร็ง ได้แต่บอกว่าถ้ารอดสองวันไปได้หมอจะผ่าตัดให้ พ่อ อืม พยักหน้า พ่อนอนไม่หลับ ผมนั่งเฝ้านั่งดูจนตี 4:35 พ่อบอกหิวน้ำ ผมเอาน้ำแตะใส่หลอด หยอดลง1หยด พ่อพยายามกลืนแต่กลืนไม่คงผมเขย่าตัวลูบหลังทำทุกอย่างที่คิดได้ ตะโกนเรียกหมออยู่10นาทีกว่าหมอจะตื่นพยาบาลก็หลับ ตี4:40พ่อผมขาดใจนิ่งอยู่บนกอดผม ตี4:50หมอและพยาบาลเริ่มออกมา ถามผมว่า ช็อตไหม ปั๊มไหม ใช้หลอดสวนคอไหม ผมบอกถ้าฟื้นก็ทำสิครับ

หมอเริ่มเตรียมอุปกรณ์ ตี 5 หมอเริ่มปั้มหน้าอกพ่อด้วยมือเปล่า พยาบาลผู้หญิงตัวเล็ก ปั๊มอกได้สองนาที่ เปลี่ยนเป็นพยาบาลผู้หญิงอ้วนๆขึ้น ปั๊มหน้าอกพ่อ ผมเห็นหน้าอกพ่อยุบลงไปเสียงดังกรอบ บุมลงไม่อยู่ทรง ผมเดินเข้าไปบอกทุกคนหยุด หยุดเถอะ พ่อผมเสียแล้ว ฟืนมาก็คงไม่มีชี่โครงแล้วล่ะ หยุดเถอะ 6:00 ผมโทรเรียกแม่มาอาบน้ำศพ แต่งตัวให้พ่อและรับศพกลับทำพิธีตามที่พ่อบอกใว้ทุกประการครับ งานศพจบ คนหาว่าผมบ้า จัดงานศพแปลกๆเหล้าก็ไม่ได้กิน ไฮโลก็ไม่ได้เล่น แต่เป็นงานศพที่พ่อผมต้องการ

เรื่องความตายผมคุยกันทั้งบ้านครับ บรรยากาศสนุกเฮฮา ลูกหลานก็หัวเราะ การตายเป็นเรื่องที่ต้องคุยใว้ก่อนตาย จะได้ไม่วุ่นวาย

ผมเริ่มคุยเรื่องจัดงานศพ ตอนที่พ่อยังอารมณ์ดีพูดคุยรู้เรื่อง ผมคุยไปในทางสนุก ถามพ่อตลอดกลัวไหม พ่อตอบไม่เคยกลัวตาย เราคุยแบบเพื่อนด้วยซ้ำ พ่อไม่ถือลูกจะไม่คุยเรื่องแย่ๆเครียดๆ อดีตก็ต้องคุยแต่เรื่องที่พ่อชอบ จะได้สบายใจพ่อ ตอนแรกๆแม่ก็บอกปากเสียคุยแต่เรื่องไม่ดี คนยังไม่ตายมาคุยเรื่องการจัดงานศพได้อย่างไง ผมบอกเมื่อถึงเวลาแม่ แม่ก็ต้องบอกใว้เหมือนพ่อทุกอย่างก็จะเรียบง่าย

คนป่วยต้องคุยให้หัวเราะ พ่อหัวเราะแล้วดูสดชื้นดูเหมือนมีกำลัง ผมเลยเลือกที่จะคุยแต่เรื่องที่พ่อหัวเราะ และลูกหลานก็หัวเราะตามๆกันไปบรรยากาศสนุกเฮฮาไม่เครียด ไม่เงียบ คุยกันถามกันเล่นไป คุยแบบขำๆ แต่ทุกอย่างที่พ่อสังใว้ผมทำให้ทุกอย่างครับ



ช่วงที่นั่งคุยกันครับ



ต้องคอยหาโอกาส ช่วงพ่อนั่งเหม่อให้เข้าไปช่วยคุย

ผมคุยเริ่มก่อน แล้วก็ปล่อยให้พ่อพูด

พ่อก็จะเล่าอดีตที่เคยผ่านๆมาให้ผมฟังยิ่งทำให้เราเข้าใจพ่อมากขึ้นครับ




หนึ่งอาทิตย์ก่อนเสียครับ อาทิดสุดท้ายพ่อจะเริ่มพูดคุยไม่รู้เรื่อง

ออกอาการเบลอๆ แต่เรียกชื่อยังจำได้ครับ




แม่พาพ่อทำบุญครั้งสุดท้าย พ่อยังพอสาธุได้ในช่วงสุดท้ายครับ






สุดท้ายสิ่งที่คุยกับพ่อก็มีประโยชน์ พ่อไม่อยากให้งานศพมีเหล้า มีไฮโล พ่ออยากเผากลางแจ้งก็ได้ตามพ่อสั่ง

การคุยก่อนตายเรื่องวันสุดท้าย จะทำให้คนอยู่ไม่วุ่นวาย ทำตามที่พ่อบอกก็สบายใจทั้งพ่อและลูกครับ

คำสำคัญ (Tags): #death public awareness#Pal2Know#Pal2Know9
หมายเลขบันทึก: 609217เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2016 09:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 กรกฎาคม 2016 15:30 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท