นายธรรมศักดิ์ ช่วยวัฒนะ
ครูโรงเรียนบ้านบึง จังหวัดสุรินทร์
16 พฤศจิกายน 2549
เราจะสร้างความอยากรู้อยากเห็นแก่เด็กนักเรียนได้อย่างไร
Curiosity เป็นคำนาม หมายถึง ความอยากรู้อยากเห็น ความแปลกประหลาด
ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติแห่งการเรียนรู้ของเด็ก เพื่อที่จะเก็บเอาประสบการณ์ที่ได้จาก
การเรียนรู้นั้น ๆ มาเป็นสิ่งที่ทำให้พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนแปลงไปได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ
ความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งเร้าต่าง ๆ นั้นกระต้นให้เด็กที่มีวุฒิภาวะทางด้านอารมณ์น้อย
ยากที่จะหักข้ามความอยากที่จะตอบสนองต่อสิ่งเรานั้น ๆ กลายเป็นภาพที่แสดง
หรือพฤติกรรมที่แสดงออกหมายถึง ความอยากรู้อยากเห็น ดังกล่าวเป็น
ความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งเร้า (Sensory curiosity) ส่วนความอยากรู้อยากเห็น
ที่เกิดจากแรงจูงใจ(Motivation) เป็นความอยากรู้อยากเห็นที่มีจุดมุ่งหมาย
หรือมีความหมายถึงแม้จะมีสิ่งเร้าต่าง ๆ มากระตุ้นก็ไม่แปลเปลี่ยนไป
จากความอยากรู้อยากเห็นเดิม เรียกว่า ความอยากรู้อยากเห็นด้วยปัญญา (Cognitive curiosity)
อิทธิพลของสิ่งเร้า จึงเป็นเงื่อนไขหลักแห่งการเรียนรู้ตามการตอบสนอง สิ่งเร้าจึงมีความเฉพาะตามวุฒิภาวะ
ความพร้อม สิ่งแวดล้อม โอกาส ของเด็ก การรับรู้ของเด็กจากสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัสทางตาซึ่งมีมากที่สุด รองลงมาคือ
เสียง กายสัมผัส ตามลำดับ ถ้าสิ่งเร้านั้นเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หรื่อในช่วงเวลา ความสมดุลก็จะเกิดขึ้นที่ตัวเด็ก ทำให้เด็กเบื่อหน่าย
ไม่สนใจในที่สุด การจะกระตุ้นแบบเดิม ๆ จึงใช้ไม่ได้ เด็กยังขาดการควบคุมทางอารมณ์ของความสนใจ ฉะนั้น
วิธีที่จะเร้าเพื่อเพิ่มเติมความสมดุล ด้วยการกระต้นเร้าความสนใจให้เสียสมดุล หรือเกิดความขัดแย้งทางกระบวนการคิด เพื่อให้เด็กที่ค้นหาคำตอบในช่วงเวลา
เวลานานเท่าไหร่กับการเร้าความสนใจ ความสนใจนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นได้มากเพียงใด ขึ้นอยู่ว่าความสมดุลทางปัญญาของเด็กนั้น ๆ
มีสภาพเป้นอย่างไร ใช้เครื่องมือใดวัดได้ว่า ความสมดุลทางปัญญาอยู่ในระดับใด
ตัวอย่างงานวิจัยที่พยามวัดบุคลิกภาพของนักเรียนที่เข้าโครงการโอลิมปิกวิชาการนั้นแบบวัดบุคลิกภาพของนักวิทยาศาสตร์ เป็น
แบบวัดผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ ที่สาขาวิจัยและประเมินผล สสวท. สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2526 โดยมุ่งวัดคุณลักษณะทางบุคลิกภาพ
ที่เกื้อหนุนให้มีการคิดค้น หรือสร้างสรรค์งานทางด้านวิทยาศาสตร์จนประสบผลสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วย 7 คุณลักษณะ คือ ความอยากรู้อยากเห็น ความใจกว้าง
ความเชื่อมั่นในตนเอง ความมั่นคงทางอารมณ์ ความมีวินัยในตนเอง ความรับผิดชอบ และความขยันหมั่นเพียร โดยเฉพาะบุคลิกภาพด้าน ความอยากรู้อยากเห็น ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ซึ่งบุคลิกภาพด้านใจกว้าง
ซึ่งมีคะแนนเต็ม 51 คะแนน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x=41.14 ) รองลงมา ได้แก่ บุคลิกภาพด้านความมีวินัยในตนเองซึ่งมีคะแนนเต็ม 48 คะแนน มีค่าเฉลี่ย (x=37.59 ) ตามลำดับ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.2526)
ความอยากรู้อยากเห็นจึงจำเป็นต้องสร้างและพัฒนาตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อการนำไปสู่บุคลิกภาพติดตัวของความเป็นนักวิทยาศาสตร์ บุคลิกภาพดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific attitude )
หรือเรียกชื่ออีกอย่างว่า “ Scientific mindedness ” หรือ จิตแบบวิทยาศาสตร์
เพราะเป็นความเจริญงอกงามที่เกิดขึ้นในจิตใจ ที่ยอมรับกันแพร่หลายและมักใช้อ้างอิงเสมอ คือ แฮนี่ย์ ( Richard E. Haney ) University of Wisconsin - Milwaukee ซึ่งได้กำหนดองค์ประกอบที่สำคัญดังกล่าวไว้
8 ประการ( Haney, 1964 : 33-35 และ Thurber and Collette, 1970 : 154 ) ดังนี้
1. ความอยากรู้อยากเห็น ( Curiosity )
2. ความมีเหตุมีผล ( Rationality )
3. การไม่ด่วนสรุป ( Suspended judgment )
4. ความใจกว้าง ( Open - mindedness )
5. การมีวิจารณญาณ ( Critical - mindedness )
6. การไม่ถือตนเป็นใหญ่ ( Objectivity
7.ความซื่อสัตย์(Honesty)
8. ความอ่อนน้อมถ่อมตน ( Humility )
องค์ประกอบหรือคุณลักษณะ 3 ประการแรก คือ
ความอยากรู้อยากเห็น
ความมีเหตุมีผล
และการไม่ด่วนสรุป
เป็นคุณลักษณะที่จะนำไปสู่การแสดงออก
หรือมีพฤติกรรมแบบวิทยาศาสตร์ (Guides to Scientific
Behavior) การมี
องค์ประกอบในข้อ 4-7
จะช่วยในการรู้จักยอมรับแนวความคิดใหม่
(Acceptance of New
Ideas)
และองค์ประกอบสุดท้ายคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
นั้นถือเป็นคุณสมบัติที่ดี
ที่ทุกคนควรมีประจำเป็นนิสัยถาวรของตนไว้
(Personality Traits)
จึงกล่าวได้ว่าองค์ประกอบทั้ง
8 ประการนี้
ก็คือ คุณลักษณะของผู้ที่มี
เจตคติทางวิทยาศาสตร์ นั่นเอง
ดังนั้นจึงอาจให้นิยามของเจตคติทางวิทยาศาสตร์ได้ว่า
หมายถึง
พฤติกรรมทางด้านความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม ประกอบขึ้น
ด้วยคุณลักษณะทั้ง 8
ประการข้างต้น(ประวิตร
ชูศิลป์.2541)
นอกจากสิ่งเร้าแล้วยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อความอยากรู้อยากเห็น ได้แก่แรงจูงใจ (Motivation)
ความใฝ่ฝัน ความทะเยอทะยาน ความมุ่งมันคาดหวัง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ควรฝึกให้เกิดขึ้นมาก ๆ อย่างสม่ำเสมอ
ในปัจจุบันจากหลายงานวิจัยพบว่า นักเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานไทยมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อยู่ในระดับที่ต่ำ โดยมีหลายปัจจัยเหตุ
เริ่มจากครอบครัว เริ่มที่จะเป็นครอบครัวที่มีขนาดเล็ก สภาวะการแข่งขันทางเศรษฐกิจ ทำให้แม่บ้านต้องออกไปทำงาน ปล่อยความเอาใจใส่ต่อบุตรหลาน
มีเพียงครูที่อยู่ในโรงเรียนเท่านั้น เวลาที่จะทำกิจกรรมของครอบครัวแห่งการเรียนรู้ก็ลดน้อยลง เด็กขาดความรักความอบอุ่น สิ่งเร้าที่จะทำให้เด็กหันเหไป
ในทางลบก็เพิ่มสูงขึ้น สภาพแวดล้อมทางสังคม ก็มีผลต่อความสนใจของเด็กอย่างมาก ถ้าชุมชนดังกล่าวเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ เด็กที่อยู่ในชุมชนดังกล่าว
ก็จะอุดมปัญญาแห่งการเรียนรู้เช่นกัน ถ้าหาชุมชนเสื่อมโทรม แออัด วิวาทะ ปัญหาต่าง ๆ ที่สั่งสมแก่เด็กก็จะเกิดขึ้นเองอัตโนมัติ เช่น ปัญหาเด็กที่มีพฤติกรรมเสียงต่าง
ก็สะท้อนให้เห็นว่าชุมชนนั้นมีแหล่งหรือสิ่งเร้าประเภทดังกล่าวอยู่ใกล้ ๆ ถึงแม้รัฐบาลจะพยายามส่งเสริมการจัดระเบียบทางสังคม และสร้างสังคมอุดมปัญญาก็ตาม
ส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะพัฒนาความอยากรู้อยากเห็นในทางบวก คือ ความร่วมมือทุกฝ่าย โดยที่ไม่ไปหมอบหมายให้โรงเรียนเป็นภาระในการสร้างความอยากรู้อยากเห็นในทางบวกเท่านั้น
อ้างอิง
ประวิตร ชูศิลป์. เจตคติทางวิทยาศาสตร์ ( Scientific attitude ) กับจุดมุ่งหมายของกาสอน
วิทยาศาสตร์.ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ฯ สถาบันราชภัฏพิบูล สงคราม.2541 Haney, Richard E., “ The Development of Scientific Attitudes,” The Science Teacher, 31(8) : 33-35, December, 1964.
Krapp, A. Interest, motivation, and learning: An educational- psychological perspective. European Journal of Psychology in Education,.1999.14, 23–40.
Todd B. Kashdan, Paul Rose, and Frank D. Fincham., Curiosity and Exploration: Facilitating Positive Subjective Experiences and Personal Growth Opportunities. Department of Psychology State University of New York at Buffalo.2004
ไม่มีความเห็น