หลุมพรางในที่นี้หมายถึงการถูกลวงทั้งด้านความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตนมาทำให้เกิดการรับรู้ที่เกิดทุกข์เกิดโทษ..
.วันนี้ได้รับโทรศัพท์ขอคำปรึกษาจากเคสเก่าซึ่งมีปัญหาผิดปกติเกี่ยวกับความวิตกกังวลกลัวว่าจะติดเชื้อเอดส์..เป็นเคสที่ขาดการติดต่อไปนานกว่าสี่เดือนแล้ว..มาครั้งนี้ประเด็นความวิตกกังวลเกี่ยวกับเอดส์ยังคงมีอยู่แต่ก็ทุเลาลงไปบ้าง..เกี่ยวกับการควบคุมพฤติกรรมที่แสดงถึงอาการวิตกกังวลของตนเองก็มีพัฒนาการดีขึ้น..แต่มันก็ยังมีความรู้สึกที่ไม่สบายใจเกี่ยวกับสุขภาพเลยบางครั้งทำให้ท้อแท้ที่จะทำงานหรือทำหน้าที่ในครอบครัว
เคสเล่าว่าช่วงนี้เขาคิดหมกมุ่นว่าทำไมอาการท้องร่วงของเขานั้นจึงยังไม่ทุเลาเสียทีทั้งๆที่ตอนนี้เขาก็ปรับตัวและดูแลสุขภาพดีมากกว่าแต่ก่อนแล้ว..(อาการท้องเสียของเขานี่เป็นหลุมพราง)จะปรับทุกข์กับภรรยาก็ไม่กล้ากลัวกันเพราะภรรยาก็เคยปลอบมาหลายหนแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรไม่ได้ติดเอดส์..ซึ่งเขาก็เชื่อว่าตนเองก็คงไม่น่าจะติดเอดส์แต่ไอ้เจ้าอาการท้องเสียนี่มันทำให้เขาสงสัยและไม่แน่ใจในตัวเอง.
.ฉันก็ฟังจับประเด็นและลองสอบถามถึงสภาพอาการและลักษณะของอาการที่เขากังวลใจว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร...เคสก็เล่าว่าตั้งแต่สิงหาคมที่เขาเลิกตระเวนไปตรวจเลือดหาการติดเชื้อเพราะเริ่มรู้สึกเชื่อว่าเขาอาจจะไม่ติดเอดส์จากการเคยถูกหมอนวดทำออรัลเซ็กส์ให้เมื่อสองปีก่อนก็เป็นได้นั้น..ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็รู้สึกดีไปได้สักระยะหนึ่งแต่พอมาเดือนที่สองที่สามเขารู้สึกว่าตนเองจะท้องเสียบ่อยมากผิดปกติ..ฉันสอบถามว่าที่มากผิดปกติของเขาหมายถึงถ่ายท้องวันละกี่หนหรือ..ได้คำตอบว่าวันละสองสามหนแต่ไม่ได้เป็นทุกวันจะมีท้องผูกสลับกันกับท้องเสีย..บางทีก็ถ่ายเหมือนเป็นมูก..อุจจาระมีกลิ่นเหม็น..ฟังก็รู้ว่าตอนนี้เคสติดกับดักความคิดวิตกกังวลของตนไปอีกหนหนึ่งแล้ว..ก็ไม่ได้แย้งอะไรให้เขาเสียSelfไปกว่าเดิมหากย้อนถามเรียบๆว่าเขาตีความอาการที่มีถ่ายมากกว่าวันละสองสามหนของเขาว่ามันคืออะไร...เขาก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะอ้อมแอ้มขอให้เราช่วยยืนยันกับเขาซ้ำอีกรอบหนึ่งจะได้ไหมว่าอาการที่เขาเล่ามานี้เป็นอาการของโรคเอดส์ใช่หรือเปล่า..ฉันก็ไม่ได้รีบตอบกลับหรือยืนยันซ้ำเพราะมันไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่กังวลแบบเคสนี้จะทุเลา/คลายความวิตกกังวลลงไปได้โดยง่าย..ฉันเลือกใช้วิธีการที่เกือบจะเป็นConfront..คุยกับเขาว่า..ฉันไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจถูกต้องนักเกี่ยวกับอาการท้องเสียซึ่งเป็นอาการสำคัญที่ทำให้เขาไม่สบายใจ.
..เว้นระยะกันไปครู่หนึ่งก่อนที่เคสจะถามว่าอาการอย่างที่เล่าไม่ใช่ท้องเสียหรอกหรือ? คุณได้ข้อมูลเกี่ยวกับท้องเสียจากใครมาล่ะ...เคสก็บอกว่าเขาสรุปเอาเองจากที่เคยได้อ่านทางหนังสือและทางอินเตอร์เน็ต..ถามย้อนลงไปอีกว่า..เพราะอะไรที่ทำให้เขาเกิดข้อสรุปเช่นนี้..เคสก็ตอบว่าคงมาจากการที่เขายังกังวลอยู่ไม่หายว่าจะติดเอดส์นั่นแหละ
..ฉันไม่ตอบรับหรือปฏิเสธว่าเขาติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ(เพราะอันนี้ก็มักเป็นหลุมพรางของผู้ให้การปรึกษาในการพูดคุยกับเคสที่มีปัญหากังวล)แต่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการที่ว่าเป็นอาการท้องเสียว่าควรมีลักษณะอย่างไรก่อนที่จะถามซ้ำเพื่อให้ผู้ป่วยแยกแยะเปรียบเทียบความเหมือนหรือแตกต่างด้วยตัวเอง.
.เคสก็เข้าใจและตอบออกมาได้ว่า...ดูเหมือนผมจะไม่ได้เป็นท้องเสียเรื้อรังเหมือนอย่างที่คิดไว้แต่แรกน่ะซิ...ฉันก็เลยย้ำให้อีกทีว่า..ถ้าไม่ได้ท้องเสียผิดปกติอย่างที่ไม่เข้าใจในตอนแรก..อยากให้ลองสำรวจดูความวิตกกังวลว่าตอนนี้มันเป็นอย่างไร..เคสก็ตอบว่า"ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นความกลัวว่าจะเป็นเอดส์มันน้อยลงไป"ฉันก็เลยConfrontซ้ำอีกหนอย่างเรียบๆว่า"คุณไม่ได้ระวังการตกหลุมพรางของความคิดวิตกกังวลเกี่ยวกับเอชไอวีที่มีอยู่..ถ้าเกิดมีอาการที่น่าสงสัยและทำให้วิตกกังวลขึ้นมาใหม่คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้หายหรือลดความวิตกกังวลลงไปได้..เคสก็ใช้ความคิดเงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ดีกว่าตอนแรกว่า"ผมก็จะใช้คำพูดที่ภรรยาเคยพูดว่าผมไม่ได้ติดเชื้อเอดส์แต่กังวลเกินไป"และอย่างวันนี้ที่ได้มาคุยก็ทำให้ผมได้ความรู้และเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าอาการที่ทำให้ผมกังวลใจไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็แล้วแต่..ก็ไม่ต้องไปสนใจกับมันมากนักไม่ต้องไปกลัวว่ามันจะเป็นสัญณาณบ่งบอกว่าผมกำลังจะป่วยเป็นเอดส์"..
.ครั้งนี้สามารถยุติการสนทนาได้ภายในเวลายี่สิบสองนาทีซึ่งทำให้เริ่มรู้สึกพึงพอใจมากขึ้นว่าการจับประเด็นและการระวังไม่ตกหลุมพรางของตัวผู้ให้คำปรึกษาเองเริ่มมีประสิทธิผลมากขึ้น
ไม่มีความเห็น