การคำนวณค่าด้วยโปรแกรม EXCEL โปรแกรม Microsoft Excel มีความสามารถเด่นในด้านการคำนวณ ซึ่งมีลักษณะการคำนวณ 2 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่
-
การคำนวณด้วยสูตร (Formula)
-
การคำนวณด้วยฟังก์ชันสำเร็จรูป (Function)
การคำนวณด้วยสูตร (Formula)
-
เลื่อน Cell Pointer ไปไว้ ณ เซลล์ที่ต้องการวางผลลัพธ์
-
สร้างสูตรการคำนวณแล้วกดปุ่ม <Enter> โดยสูตรจะมีรูปแบบดังนี้
= ค่าที่1 เครื่องหมาย ค่าที่ 2 ...ค่าที่ใช้ในการคำนวณ
-
ค่าคงที่ เช่น 500
-
ตำแหน่งเซลล์ เช่น A5 จะหมายถึงนำค่าที่ถูกเก็บไว้ในเซลล์ ณ ตำแหน่งแถวที่ 5 คอลัมน์ A มาคำนวณ
เครื่องหมายการคำนวณ
( ) จัดลำดับการคำนวณ
^ ยกกำลัง
% การหารด้วย 100
* การคูณ
/ การหาร
+ การบวก
- การลบ
ลำดับความสำคัญของเครื่องหมายการคำนวณ การคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ จะมีรูปแบบที่แน่นอนเฉพาะตัว โดยอาศัยลำดับความสำคัญของเครื่องหมายการคำนวณ
( ) ลำดับความสำคัญอันดับ 1
^ ลำดับความสำคัญอันดับ 2
*,/ ลำดับความสำคัญอันดับ 3
+,- ลำดับความสำคัญอันดับ 4
ตัวอย่างสูตรการคำนวณ
=500*2% หมายถึง เอา 2 หารด้วย 100 แล้วนำผลลัพธ์ไปคูณกับ 500=5+5*8 หมายถึง เอา 5 คูณ 8 แล้วนำผลลัพธ์ไปบวกกับ 5=(5+5)*8 หมายถึง เอา 5 บวกกับ 5 แล้วนำผลลัพธ์ไปคูณกับ 8=A2/100 หมายถึง เอาค่าในเซลล์ A2 หารด้วย 100=A2+A3+A4+A5 หมายถึง เอาค่าในเซลล์ A2 บวกด้วยค่าในเซลล์ A3 บวกด้วยค่าในเซลล์ A4 บวกด้วยค่าในเซลล์ A5
ตัวอย่างการคำนวณ
-
ต้องการหาผลลัพธ์ของค่าน้ำในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยใช้สูตรแบบค่าคงที่
- Click เมาส์ในเซลล์ D2 (เพราะเป็นตำแหน่งเซลล์ที่ต้องการใส่ผลลัพธ์)
-
พิมพ์สูตร =700 + 800 แล้วกดปุ่ม <ENTER>
-
ต้องการหาผลลัพธ์ของค่าไฟฟ้าในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ โดยใช้สูตรแบบตำแหน่งเซลล์
- Click เมาส์ในเซลล์ D3 (เพราะเป็นตำแหน่งเซลล์ที่ต้องการใส่ผลลัพธ์)
-
พิมพ์สูตร =B3+C3 แล้วกดปุ่ม <ENTER>
โดยปกติการคำนวณใน Excel จะใช้แบบที่ 2 คือ สูตรแบบใช้ค่าคงที่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ให้อัตโนมัติ เมื่อค่าใดค่า -
หนึ่งเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนผลลัพธ์จะต้องไปแก้ไขที่สูตรด้วยตนเอง
สูตรแบบใช้ตำแหน่งเซลล์ จะมีการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ให้โดยอัตโนมัติ เมื่อค่าใดค่าหนึ่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีที่สุด