เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์เครือข่ายสถานศึกษาสระยายโสม อ.อู่ทอง ได้จัดประชุมสมาชิกของศูนย์เครือข่ายฯ ซึ่งประกอบด้วย ผู้บริหารฯ ครู และบุคลากรของโรงเรียนลูกข่าย จำนวน 11 โรงเรียน ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์เครือข่ายฯ ที่มีสมาชิกเป็นจำนวนมากถึง 177 คน โดย ผอ.ศุภวรรณ นิตย์สุวรรณ ผอ.ร.ร.สระยายโสมวิทยา ประธานศูนย์เครือข่ายฯ ได้ประสานงานมายังทีมของพวกเราให้ไปช่วยพาคุณครูได้ฝึกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ในวันนั้นผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ผอ.อนุสรณ์ ฟูเจริญ ได้เดินทางไปพบปะเพื่อนครูด้วย พูดคุยถึงนโยบายและภารกิจที่เขตฯ เร่งดำเนินการในปีนี้ตามแนวนโยบายของ รมว.ศธ. ซึ่งในบางเรื่องเขตฯ เราเริ่มทำมามากแล้ว
นโยบายของท่านรัฐมนตรี โดยหลักใหญ่ใจความท่านเน้นอยู่สองส่วน คือ ส่วนแรกเน้นเชิงปริมาณ ในด้านการให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้เข้าศึกษาในระบบการศึกษาภาคบังคับครบทุกคน และในส่วนที่สอง คือ เน้นเชิงคุณภาพ โดยมุ่งที่คุณภาพผู้เรียน ยึดหลักปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ให้เป็นไปตามหลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งหวังเรื่องการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเรื่องคุณธรรมนำความรู้
การจัดการเรียนการสอนในเขตฯ ของเรานั้น หากพิจารณาในประเด็นที่เรามุ่งหวังพัฒนาให้ผู้เรียน ดี เก่ง และมีความสุข จะเห็นได้ว่าโรงเรียนในเขตฯของเราสอบผ่านในประเด็นที่สร้างให้เด็กเป็นคน “ดี” ยืนยันได้จากผลการประเมินรอบแรกของ สมศ. ในมาตรฐานคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานที่ 1 ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ ซึ่งจำนวนโรงเรียนในสังกัดฯ มีทั้งหมด 159 ร.ร.นั้น มีโรงเรียน 156 ร.ร. ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับ “ดี” และอีก 3 ร.ร.อยู่ในระดับ “พอใช้”
ประเด็นเรื่องการพัฒนาผู้เรียนให้คนที่ “มีสุข” ก็ถือว่าผ่านอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากมีคะแนนเฉลี่ยสูงถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ในมาตรฐานที่ 2 ผู้เรียนมีสุขนิสัย สุขภาพกาย สุขภาพจิตที่ดี ส่วนประเด็นที่ยังเป็นปัญหาในขณะนี้ของเขตฯ เรา ก็คือ “เก่ง” เพราะดูผลการประเมินในมาตรฐานที่เกี่ยวข้องแล้วเรายังย่ำแย่ และตกลงเรื่อย ๆ เมื่อระดับชั้นสูงขึ้น ช่วงชั้นที่ 1 ดูเหมือนจะใช้ได้ แต่พอถึงช่วงชั้นที่ 2 กลับตกลงไปอีก และตกลงไปเรื่อย ๆ ในช่วงชั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งผลที่ออกมาสอดคล้องกับผลสอบ NT เช่นกัน
ท่านผอ.อนุสรณ์ มีความเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาเราทำงานกันไม่สำเร็จ เพราะเรามัวทำตามความรู้ที่มาจากทฤษฎี มาจากตำราฝรั่ง ทำตามคู่มือที่เบื้องบนให้มา ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพที่เราเป็น ต.ย.ของความไม่สำเร็จ เช่น นโยบายการส่งเสริมการอ่าน ที่ข้างบนส่งมาให้เราปฏิบัติ ....ถามว่าทำไมทุกวันนี้ หลายโรงเรียนทำกันไป...แต่ทำไมเด็ก ๆ ถึงยังไม่รักการอ่าน...
ดังนั้น หากเราได้ใช้ความรู้จากการปฏิบัติจริงของพวกเรา น่าจะทำให้เราได้เรียนรู้วิธีการทำงานที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า...โดยดึงความรู้ออกจาก “หัวไอ้เรือง” นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำวิธีการที่เพื่อนทำได้สำเร็จ เกิดผลดีนำไปใช้ในโรงเรียนของเรา
การทำงานตลอดทั้งปีนี้ เขตฯ เราจะใช้เครื่องมือ 3 อย่างในการพัฒนางาน คือ เครือข่าย (Network) การจัดการความรู้ (KM) และ วิจัยและพัฒนา (PAR&D) ผ่านการวิจัยปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม 15 เรื่อง ในรูปแบบ “ร่มเล็กในร่มใหญ่” ซึ่งเป็นการทำงานที่มุ่งเป้าไปยังการยกระดับคุณภาพผู้เรียนนั่นเอง
หลังการพูดคุยของท่านแล้ว ทีมของเรานำโดยท่าน หน.ลำดวน ไกรคุณาศัย และทีมงานศึกษานิเทศก์อีก 4 ท่าน ก็ได้พาครูร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การจัดการเรียนรู้ที่ตนเองภาคภูมิใจ โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยตามระดับชั้นที่คุณครูรับผิดชอบในการสอน ตั้งแต่กลุ่มคุณครูอนุบาล 1 ไปจนถึงระดับคุณครูในระดับชั้นมัธยมฯ ปลาย
นอกจากคุณครูจะได้ฝึกการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้แล้ว ดิฉันสังเกตว่า KM ยังสร้างบรรยากาศของการปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกด้วย หลายแห่งที่เมื่อรวมเป็นเขตพื้นที่ฯ ยังมีปัญหาเรื่องการเข้ากันไม่ได้ระหว่างประถมฯ และมัธยมฯ ซึ่งเมื่อก่อนเคยแยกกันอยู่เป็น สปช. กับ กรมสามัญ และเคยได้ยินว่า วัฒนธรรมของทั้งสองแห่งมีความแตกต่างกันจึงเป็นปัญหาของการไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน ที่แรงกว่านั้น ยังเคยได้ยินว่า ครูมัธยมฯ บางท่าน ดูถูกความรู้ของครูประถมฯ
เขตฯ ของเราโชคดีที่ ผอ.สพท.ท่านสามารถบริหารจัดการปัญหานี้ได้ตั้งแต่แรก โดยยึดการบริหารบนหลักการของเครือข่าย มาตั้งแต่เริ่มเป็นเขตพื้นที่ฯ ทำให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้งระดับประถมฯ และมัธยมฯ เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ในช่วงปีที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ท่านก็ได้ KM อันเป็นเครื่องมือตัวที่สองเข้ามาใช้ ซึ่งดิฉันมองว่าจะเป็นเครื่องมือที่หล่อหลอมให้คุณครูในเขตฯ ของเรา รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว ส่วนเครื่องมือล่าสุดที่ท่านกำลังใช้ คือ PAR&D กำลังจะเป็นตัวพิสูจน์ความสำเร็จในการบริหารงานของท่านต่อไป
อยากรู้ว่าบริษัทไทยออยล์ใช้เครื่องมือชนิดใดในการบริหารงานในองค์กรค่ะ