เผลอไม่ทันไร ผมเป็นศึกษานิเทศก์มา 25 ปีแล้วหรือนี่
ก่อนที่จะมาอยู่ที่เขตพื้นที่การศึกษาในปัจจุบัน ผมเป็น
หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์
กรมสามัญศึกษา (คนสุดท้าย)
ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เมื่อเขาดำรงตำแหน่งนี้เขาจะก้าวไปสู่ผู้บริหารระดับสูงทั้งนั้น
แต่ผมต้องทำให้ชาวศึกษานิเทศก์รู้สึกว่าเสียเกียรติประวัติที่มีสืบทอดมายาวนาน
ทำตัวตกต่ำลง แต่ก็ไม่เป็นไร
เราควรยอมรับในกติกาการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตามกฏหมาย
และตอนนี้กระทรวงต้องแก้ปัญหาเรื่องการบริหารงานบุคคลเหมือนลิงแก้แหอยู่
เราก็ไม่ควรไปสร้างภาระให้ท่านลำบากใจเพิ่มขึ้นอีก…จริงไหม?
(แต่คิดอีกที การเปลี่ยนแปลงใดใดก็น่าจะทำให้คนดีขึ้น
ก้าวหน้าขึ้นไม่ใช่ตกต่ำลงนะ ซึ่งผู้ใหญ่ก็คงต้องตระหนักเอง)
ก่อนที่จะปรับโครงสร้างใหม่ผมได้เขียนจดหมายให้กำลังใจและให้แนวคิดแก่พี่น้องศึกษานิเทศก์ทั่วประเทศ
3 ฉบับ โดยฉบับสุดท้ายผมเขียนเมื่อวันที่ 30
มิถุนายน 2546 มีใจความว่า
“ในที่สุดวันสุดท้ายของหน่วยศึกษานิเทศก์ก็มาถึง
แม้จะรู้สถานการณ์ดี และเตรียมใจไว้แล้ว
แต่เมื่อถึงเวลาก็รู้สึกใจหาย และทำใจได้ลำบาก
เหมือนเคยจากบ้านที่เคยอยู่มานาน
ซึ่งออกจะกว้างขวางและเป็นสัดส่วน
ต้องไปอาศัยอยู่บ้านหลังใหม่ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน
และต้องอยู่กันหลายครอบครัว
โดยไร้พ่อบ้านที่จะประสานสัมพันธ์กันทั้งประเทศ
สรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง…อย่าได้ติดยึด
เราเคยผ่านร้อนผ่านหนาว
มีความช่ำชองในการพัฒนาคุณภาพการศึกษามาหลายฤดูกาล
จะเกรงกลัวไปใย นี่คือการปลอบใจเพื่อให้คลายกังวล
และขอให้พวกเราจงยิ้มรับในบทบาทใหม่ที่เขตพื้นที่การศึกษา
อย่างน้อยเราก็ยังมีตำแหน่งและวิทยฐานะที่มีโอกาสก้าวหน้ามากกว่าเดิมที่ข้าราชการหลายกลุ่มเขาอิจฉา
จริงอยู่เราอาจจะดูไม่มีบารมีเชิงบริหาร
แต่ถ้าเราสามารถสร้างตนให้มีบารมีทางวิชาการ
น่าจะเป็นบารมีที่ยั่งยืนกว่ามิใช่หรือ
ในช่วงเวลานี้อยากจะฝากข้อคิด(มิใช่การสอน)สำหรับพวกเราเมื่อเข้าสู่เขตพื้นที่การศึกษา
เพื่อสั่งสมบารมีทางวิชาการให้แก่ตนเอง
และแก่วงวิชาชีพศึกษานิเทศก์ 6 ประการ คือ
1.ขอให้รักและศรัทธาในวิชาชีพศึกษานิเทศก์
จงภูมิใจว่า เราเป็นผู้ที่มีวิชาชีพเช่นเดียวกับครู แพทย์
วิศวกร ฯลฯ (ต่างกันตรงที่เขามีองค์กรดูแลวิชาชีพเขาเฉพาะ
แต่เราถูกกระจายไปหมด)
ถ้าเรามีความรักและศรัทธาในวิชาชีพของเราเป็นเบื้องต้น
ก็จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องและพัฒนาวิชาชีพของเราให้ก้าวหน้า
โดยไม่ให้เสื่อมเสีย
2.ทำงานให้เป็นระบบและปรับปรุงพัฒนาการทำงานอย่างต่อเนื่อง
ในลักษณะของการวิจัยปฏิบัติการ วิจัยและพัฒนา
ค้นพบตนเองให้ได้ว่ามีความสามารถ มีความถนัดอะไร
แล้วสร้างสรรค์การทำงานให้เหมาะกับจริตและบริบทนั้นๆ
ช่วยกันรักษาคุณธรรมและวัฒนธรรมคุณภาพ คือ
“เขียนในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เขียน
และปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่อง”
อย่าทำอะไรแบบไฟไหม้ฟางและสร้างภาพให้ใครเขาดูถูก
เพราะนั่นคือการสร้างบาปให้แก่วงการศึกษา
3.หมั่นศึกษาค้นคว้าหาความรู้ตลอดเวลา
โดยต้องปฏิบัติให้เป็นนิสัย
ถ้าศึกษานิเทศก์ขาดศีลข้อนี้ก็ยากแก่การธำรงรักษาวิชาชีพไว้ได้
4.ทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดี
มีทักษะเชิงมนุษย์
มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง
ข้อนี้ถือว่าสำคัญเป็นพิเศษในการทำงานของ ศน.ในเขตพื้นที่การศึกษา
นั่นคือต้องมี อีคิว(EQ) อยู่กับใครใครก็รัก
ทำงานกับใครใครก็ชอบ ต้องไม่ “I,m OK. You aren,t
OK.” ถ้าตัวสูงก็โน้มตัวให้ต่ำลงบ้าง
ถ้าตัวต่ำก็พยายามพัฒนาตามครรลองที่ควรจะเป็นให้สูงขึ้น
5.ปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
โดยรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพ บางอย่างถูกแต่ไม่ควรก็อย่าทำ
มีความเสียสละ จริงใจกับทุกคน ปฏิบัติตนเป็นผู้ให้
ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรือเห็นแก่ได้
6.มีแรงบันดาลใจในการทำงานและเป็นสุขกับผลสำเร็จของงาน
มีอารมณ์ขัน หมั่นดูแลสุขภาพ
หาอุบายที่ทำให้ใจเป็นสุข
เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคก็ไม่ท้อแท้ อาจใช้กลอนของหลวงวิจิตรวาทการ
เพื่อเพิ่มพลังใจแก่ตนเองคือ
***สุขของฉันอยู่ที่งานหล่อเลี้ยงจิต
สุขของฉันอยู่ที่คิดสมบัติบ้า (งาน)
คิดทำโน่นทำนี่ทุกเวลา
เมื่อเห็นงานก้าวหน้าก็สุขใจ
งานยิ่งมีมากจริงยิ่งเป็นสุข
งานยิ่งชุกมันสมองยิ่งผ่องใส
เมื่องานทำได้เสร็จสำเร็จไป
ก็สุขใจปลาบปลื้มลืมทุกข์ร้อน***
…ท้ายสุดนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย
และอำนาจคุณความดีที่พวกเราได้สร้างสมไว้
จงส่งผลให้พวกเรามีความสุข ความสมหวัง
มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน ณ ที่ใหม่ถ้วนทั่วทุกคน
…รักผูกพันห่วงหาและอาลัย
อยู่ที่ใดก็ไม่ลืมชาว
ศน.”
…ตอนนี้ผมมีความสุขในการทำงานที่เขตพื้นที่การศึกษาพอสมควร
โดยพยายามทำตามข้อเตือนใจทั้ง 6 ข้อ ก็สามารถทำใจได้
ปล่อยวางได้พอสมควร ผู้บังคับบัญชา ชาวโรงเรียน
และผู้ร่วมงานต่างให้เกียรติ ให้ความนับถือ
มาขอคำปรึกษาแนะนำขอแนวคิดแนวปฏิบัติงานมิได้ขาด
มีเวลาได้คิดค้นทำงานทางวิชาการเต็มที่ เช่นเรื่อง KM
เรื่องสมรรถนะการปฏิบัติงาน การพัฒนาคุณธรรมนำความรู้
การพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ ฯลฯ
ได้เขียนบล็อกเกือบทุกวัน
ได้เขียนบทความทางวิชาการลงตีพิมพ์ต่อเนื่อง
ได้เขียนหนังสือเป็นเล่มบ้าง
ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายเป็นประจำ
ได้รับเชิญเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการและทีปรึกษาในเรื่องต่างๆจาก
ก.ค.ศ. ,สมศ.,สกศ.,สพฐ.
เป็นที่ปรึกษาทางวิชาการ/วิจัยแก่ผู้บริหาร ครู ศน.
นักศึกษาปริญญาโท-เอก
เป็นกรรมการเขียนหนังสือประวัติครูของคุรุสภาต่อเนื่องมา 10ปี
เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชานิเทศการศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏ 2
แห่ง ได้เป็นคณะทำงานเรื่องสหวิทยาการของราชบัณฑิตยสถาน
เป็นต้น
พอไม่ได้ทำงานด้านบริหารทำให้มีความเข้าใจและเกิดความเห็นใจผู้บริหารในยุคนี้อย่างมาก
เพราะท่านผู้บริหารแต่ละคนต้องรับผิดชอบ ตัดสินใจ
แก้ปัญหาเรื่องต่างๆที่ซับซ้อนในแต่ละวันมากมายเหลือเกิน
บางท่านก็อาจพลั้งเผลอหรือถูกฟ้องร้อง และเกิดความเครียดตามมา
น่าเห็นใจท่านจริงๆ
…เป็นนักวิชาการอย่างเราสบายใจกว่ากันเยอะเลย…
หนูเป็นนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชที่ต้องเข้าสังเกตการสอนและการฝึกสอนเช่นกันค่ะ ตอนนี้หนูเรียนอยู่ปี 3 หลักสูตร 5 ปี ค่ะ เทอมนี้ก็ต้องสังเกตการสอน และต้องฝึกสอนในปีหน้า หนูอยากทราบเทคเทคในการนิเทศน์นักศึกษาฝึกสอนอย่างง่ายๆ และเทคนิคการวางตัวของนักศึกษาฝึกสอนเพื่อให้การฝึกออกมาดี และเด็กยอมรับ รวมทั้งคุณสมบัติของความเป็นครูที่อาจารย์นิเทศน์ทุกคนต้องการค่ะ ช่วยตอบด้วยนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ