หลายคนอีเมล์มาแสดงความยินดีในวาระที่ “น้องออมสิน” ลูกคนแรกของผมลืมตาดูโลกเมื่อยี่สิบวันก่อน
ที่ผมดีใจยิ่งกว่าก็คือแข็งแรงและอารมณ์ดีกันทั้งแม่และลูกชายตัวน้อย ใครๆก็ชมว่าลูกเราน่ารัก คนเป็นพ่อก็ปลื้ม
แต่หลายๆคนอาจจะมองข้ามความสำคัญของ “การครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง” ถึงการเป็นพ่อไป และอีกหลายๆคนเลือกที่จะหันหลังให้ แต่สำหรับผม นี่เป็นประสบการณ์ตรงอีกฉากที่ทรงคุณค่าแก่การเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
ผมจำได้ว่าเคยพบเจอหลายคนว่า ไม่รู้จะมีครอบครัวไปทำไม ยิ่งมีลูกยิ่งไม่เห็นต้องการ เป็นภาระเปล่าๆ
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผมก็ไม่อาจบังคับใครให้เห็นตามผมได้ ทุกคนมีสิทธิ์คิดแตกต่าง ส่วนตัวผมแล้ว การมองลูกว่าเป็นภาระใหญ่ ก็เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ แต่ทุกๆคนล้วนเกิดมาย่อมมีภาระ อย่างน้อยที่สุดคือภาระที่จะมีชีวิตอยู่รอด เขยิบขึ้นไปคืออยู่รอดได้อย่างมีคุณค่า ได้รับการยอมรับจากสังคมอีกด้วย มีลูกดี วันข้างหน้าอาจจะช่วยเราปลดเปลื้องภาระก็ได้</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">การมีหรือไม่มีลูก เป็นช่วงเวลาที่กินยาวไปถึงอนาคต ที่มีแต่ความไม่แน่นอน จะชี้ชัดได้อย่างไรว่าเป็นการเพิ่มหรือลดสัมภาระของชีวิต </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อีกประการหนึ่ง ผมคิดว่ากำเนิดของความคิดที่จะมีลูกของคนแตกต่างกัน บางคนคิดจะมีลูกไว้ใช้ตอนแก่ บางคนคิดจะมีลูกไว้ทำนั่นทำนี่เพื่อตัวเอง ผมเคยบอกเพื่อนซึ่งคิดในตรรกะเศรษฐศาสตร์อย่างนี้ ว่าเอ็งอย่ามีมันเลย แฟนก็ไม่ต้องมี พ่อแม่ก็ไม่ต้องมี เป็นภาระไปหมด </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ในการวิเคราะห์วิจัย เราจะคิดคำนวณความสัมพันธ์ในครอบครัวในตรรกะแบบต้นทุนกำไรก็ได้ แต่นักเศรษฐศาสตร์มักตาบอดกับมิติทางจิตวิญญาณหรือการเติบโตทางวุฒิภาวะ อารมณ์ ความรู้สึกที่เป็นผลมาจากพันธะทางสังคมที่แนบแน่นเหล่านี้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ไม่ใช่ว่ามิติทางเศรษฐกิจไม่สำคัญ แต่เห็นมีคนว่ากันมาเยอะแล้ว ผมก็เลยมองต่างมุมมาประกอบและชั่งน้ำหนักกันบ้าง </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">“คนจน ไม่มีข้าวจะยาไส้ ยังริอยากมีลูก เด็กออกมาก็ไม่มีคุณภาพ” ผมเคยได้ยินถ้อยคำทำนองนี้จากนักพัฒนาคนหนึ่ง ที่ไหน จำไม่ได้ </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เราจะห้ามไม่ให้คนจนมีลูกได้ไหม คงเป็นไปไม่ได้ (แม้รัฐพยายามจะคุมกำเนิดคนจนและคนดอยด้วยวิธีต่างๆ) แสดงว่าการมีลูกเป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องเศรษฐกิจของชาวบ้าน ไม่ใช่เค้าไม่รู้ตัวว่าจน แต่รู้อยู่แล้วว่าจน ก็ยังอยากมี อันนี้มีเหตุผลทางวัฒนธรรมและทางจิตวิทยาอยู่เบื้องหลังแน่ๆ การไปทึกทักว่า “จน แล้วยังโง่อยากมีลูกอีก” อันนี้ คนจนอาจจะสะท้อนกลับไปยังคนพูดว่า “รวยแล้วยังไม่คิดจะมีลูกอีก โง่ฉิบ ” เลยไม่รู้ว่าใครโง่กันแน่ ถ้าไม่ชกกันไปซะก่อน ก็ยก “ความแตกต่างทางวัฒนธรรมวิธีคิด” ให้เป็นจำเลย ก็คงดูง่ายดี</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วกกลับมาเข้าเรื่องตัวเองดีกว่า กลับไปดูลูกน้อยดูดนมแม่แล้วกลับมาก็ชื่นใจพ่อคนนี้ มีความสุขนะครับ เป็นความสุขจากการได้เห็นเขามีความสุข อยู่ดี กินดี เห็นตัวเรา ความสำเร็จของเราอยู่ในตัวเขา</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อันนี้ สำหรับผม ผมคิดว่าการมีลูกเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญ ในการมองเห็นตัวเรา (พ่อ) เชื่อมโยงอยู่ในตัวผู้อื่น (ลูก) โดยไม่ลืมคิดถึงเมีย</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เรา (พ่อ) เห็นความเชื่อมโยงระหว่างพ่อของเราที่ดูแลเราเมื่อตัวเท่านี้ ว่าเค้าผ่านประสบการณ์คล้ายๆกันนี้ เหมือนเรา </p><p> ถ้าจะสังเคราะห์ซะหน่อย ตามธรรมเนียมของนักวิจัย ก็จะเห็นว่า เรา (คุณพ่อมือใหม่)ได้ฝึกคิดเชื่อมโยงตัวเรากับผู้อื่น เห็นความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ของตัวเรา(พ่อ) ในผู้อื่น (ลูกของเรา) (อัตลักษณ์หรือความเป็นตัวตนของเราจึงไม่ใช่ของเราทั้งหมด แต่มันอยู่ในตัวผู้คนรอบข้างของเรา อยู่ในทุกสิ่งที่เราสัมผัสได้ใกล้ชิด) โดยอาศัยลูกเป็นสื่อ หากยังสามารถขยายการเชื่อมโยงไปยังผู้คนและสรรพสิ่งต่างๆได้มากมาย เช่น พ่อของเรา แม่ของเรา ภรรยาของเรา พี่น้องของเรา คนที่กำลังเลี้ยงลูกเหมือนเรา เป็นต้น ทั้งยั้งข้ามผ่านมิติเรื่องเวลา ไปยังอดีตกาลวัยแบเบาะของเรา เห็นภาพสายสัมพันธ์หรืออัตลักษณ์ของเราอยู่ในตัวผู้อื่นในช่วงเวลานั้น นี่เอง ที่ผมพบว่า ที่ใดที่อัตลักษณ์ของเราถ่ายเทไป ย่อมเปิดพื้นที่ใหม่ๆให้ความเมตตากรุณาไปเกาะกุมได้ไม่ยาก </p><p> </p><p>ณ วันนี้ ความสุขจากการมีลูกของผมจึงขยับขึ้นเป็นสองเท่า เพราะนอกจากจะมีความสุขจากการเป็นผู้ให้แล้ว ยังเล็งเห็นอรรถประโยชน์ทางจิตวิญญาณ ที่ได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอัตลักษณ์ของตัวเราที่แทรกซึมอยู่ในสรรพสิ่งต่างๆ ทั้งยังที่จะได้จากการเรียนรู้สิ่งต่างๆอีกมากจากประสบการณ์ตรงเช่นนี้ </p>
ยินดีกับคุณยอดดอยและครอบครัวที่มีสมาชิกใหม่ตัวน้อยที่น่ารักมาก
สวัสดีค่ะคุณยอดดอย
เขียนได้น่ารักมากค่ะ "นอกจากจะมีความสุขจากการเป็นผู้ให้แล้ว ยังเล็งเห็นอรรถประโยชน์ทางจิตวิญญาณ ที่ได้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างอัตลักษณ์ของตัวเราที่แทรกซึมอยู่ในสรรพสิ่งต่างที่แวดล้อมเค้า" ยินดีด้วยนะคะอีกไม่กี่เดือนก็จะซนให้คุณพ่อเพิ่มอัตลักษณ์ใหม่...(ผอม)..แหะ.... แหะ..
ตามพี่จิ๊บ...มาต้อนรับสมาชิกใหม่...ที่มาด้วยกระแสแห่งความรักของพ่อและแม่...
...
นี่อาจเป็นบทเรียนหนึ่งอีกบทเรียนของชีวิต...ต่อการประคอง...จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์...ว่าเราจะสามารถก้าวพ้นแห่งความเป็นคนได้มากน้อยแค่ไหน..แห่งสัญชาตญาณ...ของความเป็นผู้ให้ชีวิต...อีกหนึ่งชีวิต...
...
กะปุ๋มเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาเรื่อง ครอบครัว...และการหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวแห่งคครอบครัว...กับคนที่เรารู้สึกว่าใช่เลย..คือ คนนี้เลย..ที่เราจะจูงมือกันเดินไปเพื่อร่วมทำสิ่งที่ดีงามแก่ชีวิต...
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้...อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยคะ
ขอบคุณคะ
กะปุ๋ม
เข็มนาฬิกาบอกเวลาวันใหม่......
เด็กน้อยเจ้าดวงใจ.... หลับปุ๋ยไปแล้ว ......
แววตาใสๆปิดสนิทไว้ในเปลือกตาบางๆ......
หากพอเอื้อนเอ่ยได้บ้าง....
เจ้าอยากจะบอกสิ่งไรกับโลกนี้หนอ?.......
แม้เจ้ายังรับรู้ได้...
ถึงความห่วงใยที่คนเหล่านี้ ล้ำค่า......
กระพริบตาแผ่วๆ แล้วส่งยิ้มมา....
แค่นี้...ก็รู้แล้วว่าเจ้า ขอบคุณถึงผู้ใหญ่ทุกๆคน
แทนใจน้องออมสิน จากคุณพ่อยอดดอยครับ