วันนี้ถกปรัชญาชีวิตกับเพื่อนใน MSN จากนั้นก็แวะเข้าบอร์ดซึ่งเข้าไปสิงสถิตอยู่ประจำ มีน้องคนหนึ่งรำพึงถึงเรื่องชะตากรรมของโลก ที่นับวันจะเลวร้ายลง พูดถึงความตายอันน่ากลัว ที่อาจจะผุดขึ้นตรงหน้าเราเมื่อใดก็ได้ แต่ละคนเมื่อเอ่ยถึงความตาย ก็อดมีความรู้สึกหดหู่ ใจหาย หวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้
อาจจะเป็นเพราะงานของเรา อยู่กับความเป็นความตาย และเห็นการเกิดแก่เจ็บตายมามาก จนสัมผัสถึงสัจธรรมตรงนี้ได้เร็ว กว่าคนในอาชีพอื่นๆ แต่เราก็ยอมรับนะว่า เมื่อเอาถึงความตาย ก็มักต้องถอนใจด้วยความรู้สึกสะทกสะท้อนลึกๆอยู่ข้างใจเสมอ
ชีวิตของเรา อยู่กับวันนี้ 75% และเตรียมรอรับวันพรุ่งนี้ไว้เพียงแค่ 25% เราไม่กล้าทุ่มเทไปมากกว่านั้น เพราะไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น จึงคิดว่า..ทุ่มเทกับวันนี้และทำวันนี้ให้ดีที่สุดจะดีกว่า
ความตายรออยู่ข้างหน้าของทุกคน เพียงแต่ว่ามันจะกวักมือเรียกใครไปหามันก่อนเท่านั้น
ดังนั้น..จงอย่าเสียเวลาและโอกาสที่จะให้กับตัวเราเอง และแก่คนที่เรารัก ก่อนที่เราจะไม่มีเวลาและโอกาสเหล่านั้นอีกต่อไป
..............
คนเราทุกคน เกิดมาแล้วก็ต้องตาย.. แต่ก็เป็นเรื่องจริงนะ ที่หลายคนลืมเรื่องนี้ไป
บางคนรู้ ไม่ได้ลืม เพียงแต่ไม่ตระหนักอะไร ไม่ได้คิด ไม่ได้มองถึงข้างหน้า ซึ่งอาจจะเพราะอยากจะปล่อยให้มันเป็นไปตามมสภาวะของมันก็ได้
เราเคยเก็บเอามาคิดอยู่หลายครั้ง เวลาที่กำลังทำอะไรอยู่อย่างซีเรียส เวลาที่เราเคร่งเครียดกับสิ่งที่ตรงหน้า โดยนิ่งตรึกว่า.. นี่เรากำลังทำอยู่ตรงนี้ เราทำไปทำไม ..ทำเพื่ออะไร
หลายครั้งที่เราไปทุ่มเท ไปเห็นค่า กับสิ่งที่มันเป็นเพียงภาพลวง กับสิ่งที่ความจริงมันเป็นเพียงบางอย่างที่กำลังคุกคามใส่เราอยู่ขณะนั้น หากแต่มันหาใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตเราไม่ หลายครั้งที่เราจมอยู่ในเงามืดบางอย่าง ซึ่งเราสู้กับมันอย่างเคร่งเครียด แต่ไม่กล้าขยับตัวออกมาจากตำแหน่งตรงนั้น
เป็นเพราะเรากลัวการเปลี่ยนแปลงใช่ไหม กังวลต่อสิ่งที่เราไม่เห็นซึ่งอยู่ข้างหน้าใช่ไหม เรากลัวไม่กล้าต่อสู้กับอุปสรรคปัญญหา ที่ใจเรากำลังจินตนาการว่ามันอาจจะรอเราอยู่ ถ้าเราก้าวออกไปจากตรงนั้น
ความจริง... หากหลุดออกจากมุมมืดที่เรากำลังยืนอยู่ มันอาจจะเป็นทุ่งโล่งที่สว่างไสวสวยงามก็ได้ อาจจะมีแค่คูคลองขวางอยู่ ให้ดูเหมือนลำบาก แต่พอก้าวพ้นไปก็จะเจอกับเรื่องดีๆ
จนในที่สุด บางทีเราก็พยายามที่จะคิดว่า...อะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด สิ่งที่เรามีอยู่ในตอนนี้ มันเหมือนภาพลวงตา แค่สุขแค่ทุกข์ชั่วขณะ...ก็จะกลายเป็นหมอกควันสูญสลายไป ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ แม้แต่ชีวิตของเราเอง
ไม่มีอะไรหนักหนาหรือรุนแรงไปกว่าความตาย ถ้าหากเราเตรียมรับมันอย่างไม่หวั่นเกรง อย่างสงบและมีสติ มันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด..แค่เดี๋ยวเดียว.. เหมือนกับหลับไป
ดังนั้นสิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ความตาย แต่อยู่ที่.. เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรให้มีคุณค่า ทำให้ตัวเองและคนรอบข้าง คนที่เรารักมีความสุข
ชีวิตคนอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี เมื่อเทียบกับเวลาของโลกที่หมุนเวียนผ่านไปอย่างยาวนาน.. ชีวิตเราจึงเป็นเพียงจุดหนึ่งของเสี้ยวเวลาเหล่านั้นเท่านั้น หากจะให้ชีวิตมันมีคุณค่า นั่นคือ ตอนอยู่ก็ให้คนรัก อย่าทำให้คนเกลียด ตอนตายก็ให้คนจำ อย่าทำให้คนลืม
ตอนนี้จึงได้แต่คิดว่า.. จะทำอย่างไรให้.....
1. อยู่..โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง และคนอื่น
2. อยู่.. เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมที่เราเป็นสมาชิกอยู่นั้น
3. อยู่.. เพื่อคนที่เรารัก โดยพยายามเป็นคนให้ มากกว่าที่จะรอรับ จากคนที่เรารัก
4. อยู่..โดยใช้เวลาแต่ละวัน ค้นหาความฝัน และทำมันให้เป็นจริง ก่อนที่เราจะจากไป
5. อยู่.. โดยใช้เวลาอย่างมีคุณค่า โดยการจะสร้างอนุสรณ์ไว้ให้คนได้จดจำและคิดถึงเราเมื่อจากไป คนมีครอบครัว อาจจะเป็นทายาท คนไม่มีครอบครัว ก็อาจจะเป็นผลงานบางอย่าง ที่ฝากไว้ข้างหลัง
6. อยู่..โดยไม่ต้องไปคิดว่าเมื่อไหร่เราจะต้องตาย.. เมื่อถึงเวลา มันก็มาเอง
สรุปอีกครั้งอย่างสั้นๆก็คือ " อยู่..อย่าให้คนเกลียด ตายไปก็ขอให้คนคิดถึง"
ถ้าทำได้จริงๆ...แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ
^_________^
เห็นกันอยู้เมื่อเช้า สายตาย
สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
บ่ายรื่นชื่นรวยราย เย็นดับ ชีพแฮ
เย็นเล่นกับลูกด้วย ค่ำม้วยอาสัญ
......"คนที่ตายไปแล้ว หากมิได้ฝังอยู่ในใจของคนเป็น เขาก็ได้ตายไปแล้วจริง ๆ".......
ขอบคุณสำหรับเรื่องความตายครับ
เรื่องตายนี่ผมยังไม่เคยคิดถึงมากครับ เพราะทุกวันนี้อยู่ในโรงพยาบาลเจอ 2 อย่างที่ทำให้ผมคิดมากกว่า คือ
ผมเห็ฯ 2 อย่างนี้แล้วรู้สึกเศร้าใจครับ ภาพคนแก่ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ทรมาณเจ็บป่วยต้องมีญาติคอยดูแล เลยมีเป้าหมายชีวิตที่อาจดูแปลกในสายตาคนรอบข้างหน่อย คือ
ส่วนเรื่องตายนี่ผมคงต้องคิดเผื่อไว้มั่งแล้ว ขอบคุณอีกทีสำหรับข้อคิดคร้าบ
หนูจูน
มีเวรมีกรรมมากเหรอคะ
หายไปเลย