การเลือกเรื่องและการกำหนดปัญหาในการทำวิจัย
ถือว่าเป็นกิจกรรมที่มักจะทำพร้อมๆ กันไป
การเลือกเรื่องเป็นการหาปัญหาในลักษณะกว้างๆ
ที่ผู้วิจัยพิจารณาดูแล้วเห็นว่ามีความสำคัญ
และน่าสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ โดยใช้หลัก คือ 1)
ตัวผู้วิจัยสนใจ (ไม่ใช่ตามคนอื่นสนใจ) 2)
มีความสำคัญหากทำแล้วได้องค์ความรู้ใหม่ที่นำไปใช้ได้และเป็นประโยชน์
3) สามารถทำได้สำเร็จ โดยพิจารณาทั้งจากกำลังความสามารถ ทรัพยากร เวลา
และความยากง่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล และ 4)
ไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยที่ทำมาแล้ว
ซึ่งดูได้จากการทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมาถึงจะได้รู้ประเด็นนี้
และพิจารณาความซ้ำซ้อนในแง่ของปัญหา สถานที่ เวลา และวิธีการที่ใช้
ไม่ใช่ว่าซ้ำอย่างใด อย่างหนึ่งแล้วจะทำไม่ได้เช่นกัน
งานวิจัยบางเรื่องก็ต้องการการยืนยัน (confermatory) เช่นกัน
แต่ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกระหว่างปัญหาเชิงบริหารจัดการ
กับปัญหาวิจัยก่อน เช่นปัญหาบางปัญหาไม่จำเป็นต้องทำวิจัย
แต่ใช้วิธีการทางการบริหารจัดการดี ๆ ก็แก้ได้แล้ว ตัวอย่าง เช่น
ปัญหาการตกเตียงของคนไข้ เป็นต้น แต่ถ้าได้ทบทวนและวิเคราะห์ดี ๆ
ปัญหาการตกเตียงของคนไข้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาวิจัยที่ใหญ่กว่า
คือ ความเสี่ยงทั้งหมดจากกิจกรรมพยาบาลในแผนกผู้ป่วยใน
อย่างนี้เป็นต้น
การสืบค้นเพื่อกำหนดเรื่องหรือปัญหาวิจัย
ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะช่วยให้นักวิจัยสามารถกำหนดเรื่องหรือปัญหาวิจัยได้เร็ว
แต่จากประสบการณ์นะครับ จะพบว่ามาถึงขั้นตอนนี้แล้ว
นักวิจัยจะพบข้อมูลมากมาย และจะเริ่มลังเล เรียกว่าอันนั้นก็น่าทำ
อันนี้ก็ดี และจะมัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้นาน
จึงเสนอแนะให้ขอคำปรึกษาจากพี่เลี้ยง
โดยนำประเด็นที่สนใจทั้งหมดไปพูดคุยเลย จากนั้นผมจะเรียกว่า “ปักธง”
ให้ได้ แล้วจะเริ่มเดินได้ฉลุย
ขอกลับมาที่แหล่งสืบค้นอีกครั้งว่ามีที่ไหนบ้างนะครับ 1)
จากรายงานวิจัยที่มีผู้วิจัยได้นำเสนอไว้
โดยเฉพาะที่ประเด็นข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป จะพบได้เลย
แต่ก็ต้องเลือกรายงานวิจัยที่มีคุณภาพด้วย
(รายละเอียดรายงานวิจัยที่มีคุณภาพ จะอยู่ในเรื่องต่อไปคือ
การทบทวนเอกสาร วรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ครับ) ต่อแหล่งที่
2 นะครับ 2) จากภูมิหลังของนักวิจัยเอง หรือจากประสบการณ์นั่นเอง
อันนี้ถ้าเอาออกมาเองไม่ได้ แนะนำว่าการพูดคุยกับพี่เลี้ยงดี ๆ
จะออกมาได้ครับ อย่างอื่นยังเขียนไม่ออกว่าจะเอาออกมาได้อย่างไร
ในขณะนี้ และ 3) จากแหล่งทุน หรือผู้ตั้งโจทย์วิจัยไว้แล้ว
อันนี้เมื่อสืบค้นไปที่แหล่งทุนต่าง ๆ จะพบเห็นได้อยู่แล้ว
แต่ก็เหมือนที่ได้กล่าวไว้ที่ เอามะพร้าวมาขายสวน : ขั้นตอนการทำวิจัย
คือเป็นความสนใจของคนอื่น ต้องระวังว่าเราสนใจจริงไหม
ไม่งั้นไม่ควรกระโดษเข้าไปทำ เพราะเมื่อไม่สำเร็จ
จะทำให้เราไม่มีจรรยาบรรณนักวิจัยอีกตามที่ได้เขียนไว้ที่ เอามะพร้าวมาขายสวน: จรรยาบรรณนักวิจัย
ฉะนั้นการกำหนดประเด็นเรื่องที่จะวิจัย หรือการกำหนดปัญหาวิจัย
จึงเป็นการตีกรอบ และเจาะลงไปในแนวลึกของปัญหาให้ชัดเจน
อาจจะต้องใช้เวลาในช่วงนี้บ้าง แต่วิธีการระดมสมอง (เพื่อนช่วยเพื่อน
สลับกัน) ระดมสติปัญญาในการสร้างแนวคิด
และสร้างเป็นคำถามของปัญหาให้ลึกซึ้งเหมาะสม
จะช่วยในขั้นตอนต่อไปได้มากครับ (ไม่ได้ตั้งใจหยาบนะครับ...
ถ้าคำถามวิจัยตื้น ๆ ก็จะได้ผลการวิจัยแบบตื้น ๆ พูดจริง ๆ)
มาถึงตอนนี้สมมติว่าเราได้ประเด็นปัญหาวิจัยมาแล้ว
และจะต้องตั้งชื่อเรื่องวิจัยนะครับ (รวดเร็วดีไหมครับ)
มีหลักเกณฑ์ง่าย ๆ แต่ทำยาก ๆ ดังนี้ครับ ใช้ภาษเรียบง่ายกะทัดรัด
ชัดเจน อ่านแล้วเข้าใจได้เลย พยายามอย่าให้ยาว
(ของผู้เขียนมีเรื่องหนึ่งยาวมาก จนต้องปรับ)
และในชื่อเรื่องต้องมีสาระที่บอกเรื่องเหล่านี้ได้ว่า ศึกษาอะไร
กับใคร ที่ไหน (ไปเกี่ยวข้องกับสถานที) เมื่อไหร่
(ไปเกี่ยวข้องกับช่วงเวลา)
และมีความครอบคลุมกับปัญหาวิจัยทั้งหมดที่จะทำการศึกษา
มีคำแนะนำเรื่องการตั้งชื่อเรื่อง กรณีใช้ภาษาไทย เช่น
อย่าใช้ภาษาอื่นปน ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ (มีคำในภาษาไทยใช้)
หรือการใช้คำย่อที่ยังไม่เป็นที่นิยม ไม่เป็นสากล
หรือการใช้ประโยคที่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย
อย่างต้องขึ้นต้นด้วยประธานของประโยค เป็นต้น
สรุปแล้วในขั้นตอนนี้ ผู้วิจัยจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ค้นคว้ารวบรวมเอกสารข้อมูลสำคัญ ๆ ไว้ให้มากที่สุด เพื่อสร้างและพัฒนาแนวคิดในการที่จะกำหนดวางกรอบของปัญหาให้ชัดเจน พยายามตั้งคำถาม เพื่อตอบด้วยตนเองให้ได้ว่า ปัญหาคืออะไร สำคัญมากน้อยแค่ไหน จะศึกษาปัญหานี้อย่างไร หรือด้วยวิธีใด ภายในขอบเขตลึกซึ้งมากน้อยเพียงแค่ไหนถึงจะเหมาะสมดีครับ (เฮ่อปั่นเสียเหนือย...เลย)
เรื่องทั้งหมดที่เขียนเป็นตอน
ๆ คือ [บทนำ
ขั้นตอนการทำวิจัย] [การเลือกเรื่อง
เลือกปัญหา และการกำหนดปัญหาการวิจัย] [การทบทวนเอกสาร วรรณกรรม
และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง] [การกำหนดกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี]
[การตั้งสมมติฐาน] [การกำหนดตัวแปรและการวัด]
[การกำหนดหรือวางรูปแบบการวิจัย]
[การเตรียมและพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย] [การกำหนดกลุ่มประชากร
และการเลือกกลุ่มตัวอย่าง] [การเก็บรวบรวมข้อมูล]
[การเตรียมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์] [การวิเคราะห์ข้อมูล]
[การแปลผลจากการวิเคราะห์ข้อมูล] [การเขียนรายงานวิจัย]
[ความคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้จากการวิจัย] [จรรยาบรรณนักวิจัย] [คุณสมบัติของนักวิจัยที่ดี]
หมายเหตุ: หากยังไม่ link
หมายถึงยังไม่ตีพิมพ์ไว้ครับ
ผมเอาประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ได้จากการเรียน และลงมือทำมาเขียน ถ้าหากเอามาจากที่อื่น ๆ มาผสมผสานลงไป ก็อ้างอิงไว้ และหากผิดถูกประการใด ก็ขอน้อมรับเพื่อการปรับปรุงในทันทีนะครับ (เขียนเหมือนรายงานนักศึกษาเลย) สิ่งนี้ยังต้องการคำชี้แนะอีกมาก ขอเชิญเติมเต็มให้ด้วยครับ
ครับผม
ผมชื่อลี อยู่ที่เชียงรายครับ และผมก็กำลังทำวิจัยเรื่องยาสมุนไพรอยู่ผมอยากขอความคิดเห็นจากคุณว่า การทำวิจัยจะต้องออกมาเป็นหนังสือเล่มใหญ่ๆ หรือไม่ และผมก็อยากให้คุณช่วยส่งขั้นตอนในการทำวิจัยพร้อมทั้งตัวอย่างด้วยก็ดีครับ
ผมจะขอขอบพระคุณมากครับและผมจะเข้ามาหาคุณในเว็บใหม่นะครับ
ps.โปรดส่งมาที่เมลล์ขั้นต้นของผมด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
ลี
การวิจัย...เปรียบเสมือนเป็นปัญญา..ที่นำมาใช้ในกระบวนการแก้ปัญหา..โดย..ถ้าหากคนเรามีจิตใจเป็นนักวิจัย..ทุกห้วงอณูแห่งการดำเนินชีวิต..เราได้ใช้ปัญญาในการแสวงหาความจริงหรือการแก้ปัญหา..โดยอาศัยความเชื่อในการหลักการแห่งความเป็นเหตุเป็นผล..และต้องพร้อมด้วยมูลเหตุแห่งความจูงใจแล้ว..สามารถนำเราไปสู่ข้อค้นพบที่เป็นความจริง..และสิ่งที่พึงประสงค์...
ขอ ลปรร. ร่วมกับคุณลีนะคะ...ความสำคัญของข้อพบในงานวิจัยนั้น..ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความหนาหรือบางในงานนั้น..แต่หากขึ้นอยู่...กับสิ่งที่ได้..จากการเรียนรู้ที่ผ่านกระบวนการที่เป็นระบบระเบียบทางการวิจัย...มีค่ายิ่งที่สามารถตอบคำถามปัญหาของการวิจัย..และนำไปสู่การพัฒนา...ข้อค้นพบนั้นๆ..ต่อไป
ตกไปเลยครับ ผมไม่ทันเห็นว่ามีคนแสดงความคิดเห็นไว้ ขอโทษคุณ lee ด้วยจริง ๆ
คุณ Dr.Ka-poom พูดถึงวิญญาณนักวิจัย ไม่จำเป็นว่าต้องทำวิจัยในทุกเรื่อง แต่ทุกเรื่องควรใช้วิญญาณนักวิจัยพิจารณา (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) ก็จะเยี่ยมยอดไปเลยสนันสนุนมาก ๆ ครับกับคำกล่าวนี้