ถ้าจะถามว่า ณ วันนี้ผมยึดทฤษฎีใดในการนิเทศการศึกษา ผมก็อยากจะบอกว่า “ถ้าผมเป็นจอมยุทธ์ก็คงจะเป็นจอมยุทธ์ไร้กระบวนท่ามากกว่า” เพราะผมจะไม่พยายามติดยึดกับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ก็ไม่ใช่ปฎิเสธทฤษฎีนะ ผมจะพยายามศึกษาทุกอย่างที่ขวางหน้า แล้วค่อนข้างเป็นคนชอบประยุกต์ โดยไม่ชอบทำอะไรยืดยาด หรือมัวแต่ร่ายรำรอให้สมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยทำ คงไม่ทันกินแน่ แต่จะทำไปปรับไปพร้อมๆกัน จะพยายามอิงแนวทางวิจัยและพัฒนานั่นแหละโดยทำไปทดลองไป ปรับไป โดยไม่ได้ควบคุมในเรื่องประชากรกลุ่มตัวอย่างมากนัก แต่จะทำตามความต้องการของลูกค้ามากกว่า และไม่ได้รายงานออกมาในรูปแบบการวิจัยพัฒนา แต่จะรายงานในรูปแบบการประเมินโครงการ ที่แสดงนวัตกรรมให้เห็นมากกว่า
ผมมีความเชื่อว่า คนจะคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ได้ต้องมีข้อมูลความรู้มาก่อน แล้วค่อยจัดระบบ และกลั่นออกมาเป็นแนวปฏิบัติโดยอัตโนมัติ ที่เขาเรียกว่า “เป็นองค์รวม” หรือ “”บูรณาการ” โดยไม่คิดอย่างแยกส่วน กระมัง
สำหรับทฤษฎีต่างๆที่ผมกลั่นออกมาและถือว่าเป็นหลักยึดของผมได้ในทุกเรื่องขณะนี้ก็น่าจะเป็น “ความคิดเชิงระบบ” ที่เริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาความต้องการจำเป็น(NA) วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา กำหนดทางเลือก เลือกทางเลือกในการแก้ปัญหา วางแผน ดำเนินการ ประเมินผล และปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่อง
ทำไมผมมาลงเอยตรงนี้ ก็เพราะว่า “ความคิดเชิงระบบ”นี้สอดคล้องกับ หลักอริยสัจของพระพุทธเจ้า สอดคล้องกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการวิจัย วงจร PDCA ฯลฯ ไม่ว่าจะเอาทฤษฎีใดมาจับเข้าได้ทั้งนั้น
และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบและพยายามยึดถือคือการมีวินัยเรื่อง “เขียนในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่เขียน และปรับปรุงพัฒนาต่อเนื่อง”
ที่จริงไม่อยากจะเล่าเรื่องการพัฒนาผลงานทางวิชาการเพราะเรื่องนี้เป็นดาบสองคม ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีคนเป็นจำนวนไม่น้อย ที่ "อยากได้แต่ไม่ควรจะได้" และพยายามหาวิธีการทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้…และก็ได้จริงๆ ทำให้คนที่อยู่ด้วยกัน เขาเห็นเขาก็เบื่อระบบนี้ ซึ่งทำให้คนมองข้าราชการครูเราไม่เป็นแบบอย่างการมีคุณธรรมจริยธรรม (แต่คนที่ตั้งใจทำงานที่ควรได้และได้ตามที่ต้องการซึ่งมีเป็นส่วนใหญ่ก็ควรสรรเสริญให้กำลังใจเขา) โดยผมก็ไม่อยากให้เราเอาเป็นเอาตายเรื่องนี้ ซึ่งผมยืนยันมาตลอดว่า “ผลงานทางวิชาการเป็นผลทางอ้อมหรือผลพลอยได้จากการคิดค้นนวัตกรรมแล้วนำไปสู่การพัฒนาครูหรือผู้เรียนจนบังเกิดผลดีที่ชัดเจน แล้วเราจึงนำเอาผลจากอานิสงส์การทำความดีนี้มาเสนอขอกำหนดตำแหน่งให้สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลพลอยได้ไม่ใช่ผลทางตรง” แล้วเราจะมีความสุขจากผลสำเร็จของการทำงานอย่างแท้จริง
สำนึกนี้ผมเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นๆปี 2530 แล้ว โดยในการพัฒนาเรื่องบรรยากาศฯของผม ก็เพราะผมต้องการจะสนองนโยบายและทำให้เป็นแนวทางแก่โรงเรียน พอทำเสร็จผมก็ต้องรายงานต้นสังกัด เมื่อทราบว่า ก.ค.เขามีหลักเกณฑ์ให้ส่งผลงานได้ผมก็เอาตัวนี้ส่ง ก็ได้ระดับ 7 มา(ประเมินโดยสำนักงาน ก.ค) แล้วก็ทำเรื่องประชาธิปไตยช่วยโรงเรียนต่อไปอีก พอส่งรายงาน ก็สำเนาเล่มนี้ส่งก.ค.อีก ก็ได้ระดับ 8 มา (โดยทั้ง ระดับ 7 และ 8 ก.ค.ประกาศให้ผ่านก่อนเงินเดือนถึงขั้นต่ำทั้งสองครั้ง รอจนเงินเดือนถึงเขาจึงแต่งตั้ง) พอมาระดับ 9 ก็มาช่วยพัฒนามาตรฐานตามแนวทางหนังสือที่เขียน “เจาะปัญหาพัฒนาโรงเรียน” ก็ได้มาอีกเช่นกัน ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้มากกว่าผลทางตรง
ตอนนี้ได้ระดับ 9 มา 10 ปีแล้ว เห็นอะไรมาเยอะ รู้สึกว่าไม่อยากยึดติดกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ยิ่งศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเรายิ่งเข้าใจมากขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดคิด หยุดทำงานนะ เพียงแต่ลดละเรื่องกิเลสต่างๆให้น้อยลงมากกว่า และค้นพบว่าการทำตัวเป็นผู้ให้คนอื่นน่าจะมีความสุขมากกว่า
ที่จริงเรื่องนี้ ก.ค.ศ.เขามีเจตนาดี แต่อยู่ที่คนต่างหาก รวมทั้งระบบก็ยังควบคุมคนได้ไม่ทั่วถึงและขาดมาตรฐานในการปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงเกิดผลกระทบตามมา
ดังนั้นแม้ ก.ค.ศ.จะคิดหลักเกณฑ์วิธีการดีอย่างไร ถ้ายังมีคนที่มุ่งใช้วิชามารอยู่ ก็คงป้องกันได้ยาก...
ไม่มีความเห็น