ตั้งแต่ปี 2543 ผมได้จดบันทึกคำกล่าวของ เฮอราคลิตุส (Heraclitus) ที่ได้อ่านพบจากปกหลังของวารสารการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านสุขภาพ ซึ่งบันทึกไว้ดังนี้
“เมื่อสุขภาพไม่สมบูรณ์
ความปราดเปรื่องจะถูกบดบัง
วัฒนธรรมไม่อาจแสดงออก
มนุษย์ไร้กำลังต่อสู้
ความร่ำรวยไร้ประโยชน์
และปัญญานำไปใช้ไม่ได้”
จริง ๆ ตอนนั้นผมบันทึกเพิ่มเติมไว้นิดนึงด้วยว่าเห็นด้วยและชอบใจในข้อสรุปนี้ แต่มาถึงตอนนี้ ผมกลับมีคำถามขึ้นว่า ทำไมมนุษย์ต้องพยายามให้มีสุขภาพสมบูรณ์เพื่อมีพลังไว้ต่อสู้เหรอ และมีสุขภาพสมบูรณ์เพื่อแสวงหาและใช้ประโยชน์จากความร่ำรวยกันจริง ๆ เหรอ ที่บันทึกวันนี้เพราะเกิดคำถามอย่างนี้ครับ
หากแม้สุขภาพกายไม่สมบูรณ์ แต่หากคุณมี จิตที่แรงกล้า มีความเชื่อ และศรัทธาต่อ สิ่งใด พลัง และความปราดเปรื่องก้อจะมาอย่างเต็มเปี่ยม
และคิดว่าใช่ ที่มนุษย์ พยามมีสุขภาพที่สมบูรณ์ เพื่อไว้ในการต่อสู้ แต่จะต่อสู้กับอะไรละ บ้างก้อต่อสู้ต่ออุดมการณ์ที่จะให้เกิดสิ่งดี บ้างก็ต่อสู้เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองตามกิเลสที่ก่อเกิด แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนต่อสู้เพื่อก่อเกิดสิ่งดี ต่อตัวเอง และ สังคม ให้อยู่อย่างสุขสงบ
เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราแต่ละคนให้ความสำคัญนั้นคืออะไร
ก็คล้ายๆกับความคิดเห็นคุณก้ามปูแหละค่ะ
มัทคิดว่า คุณชายของมีคำตอบในใจอยู่แล้วใช่ไม๊ค่ะ
: )
-----------------------------------------------
แต่มีจุดนึงที่ติดใจมาเสมอ และต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นค่ะ
ช่วงหลังๆที่ ความหมายของคำว่า สุขภาพมันกว้างเหลือเกิน ครอบคลุมด้าน สังคม สุขภาพจิต และ จิตวิญญาณด้วย เลยเริ่มงงๆว่าแล้วมันจะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ต้องการได้ไง
มาลองช่วยกันนึกดูเล่นๆว่ามีกรณีไหนไม๊ีที่
คนมีสุขภาพดีแล้ว (ในความหมายแบบองค์รวม ทั้งทางกาย จิต จิตวิญญาณ) แต่ยังไม่ได้รับสิ่งที่เห็นว่ามีค่าในชีวิต คือ ยังมีอะไรที่ต้องการอีก?
หากกายป่วยแต่ใจไม่ป่วยชีวิตก็พอจะมีสุขและคงเหลือพลังไว้ขับเคลื่อน...เห็นด้วยกับคุณมัทนาว่าเราเพียงใช้สุขภาพไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า..และก็นิ่งๆ..ขบคิดกับคำกล่าวของเฮอราคลิตุสผสมผสานกันกับประเด็นแห่งคำถามของชายขอบ..เพราะตอนนี้ก็เหมือนเผชิญกับสภาวะแห่งการค้นหาสัจจะแห่งคำกล่าวนั้นอยู่พอดี..การเจอว่ากำลังป่วยกำลังไม่สบายที่รุนแรงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือการต่อสู้ด้านในว่าเราจะสามารถประคองร่างนี้ทำกิจกรรมสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจไปจนสำเร็จได้หรือไม่...สภาพความเจ็บป่วยและความทรมานที่จะพึงมีทั้งในภาวะนี้และต่อไปในอนาคตเราจะรับมือกับมันได้อย่างไรมีวิธีหลีกเลี่ยงได้หรือไม่..หากเราอดทนหรือรับมือกับความทุกข์ทรมานทางสังขารไม่ไหวแล้วเราจะทำอย่างไร..นี่เป็นเหมือนคำถามที่มุ่งเข้ามาหาตัวเองก่อนที่จะนึกคิดมาได้ในสัจจธรรมตามธรรมชาติว่า ชีวิตไม่มีอะไรที่แน่นอน ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสมบัติติดมาตั้งแต่ที่มีการเกิดมิได้เป็นทุกข์ที่createมาให้แต่เราเท่านั้น แต่เวลาเจออาการเจ็บปวดทีไรเผลอคิดทุกข์ว่า"นี่แหละของฉัน".เสียทุกที.เลยขอสรุปว่าเราพึงมีสุขภาพที่ดีทั้งทางกายและจิตใจรวมถึงจิตวิญญาณเอาไว้ต่อสู้กับอะไร?น่าเป็นการต่อสู้กับการลดละอัตตา ความเห็นแก่ตัว..ทั้งของตัวเราเองและผู้ที่เกี่ยวข้องน่ะคะ
คุณก้ามปู ครับ
ผมเชื่ออย่างนั้นเช่นกันครับ
แต่ผมมองเพิ่มอีกนิดนึงนะครับว่า สุขภาพของใครคนใด ๆ เป็นคน ๆ ไป ย่อมเชื่อมสัมพันธ์กันในทุก ๆ มิติ จนเป็นเนื้อเดียวกันกับชีวิต ที่เรียกตามทฤษฏีในปัจจุบันเรียกว่าเป็นองค์รวม ตรงไหนที่ได้รับผลจนไม่สมบูรณ์หรือขาดความสมบูรณ์ไปแม้ชั่วคราว ก็จะส่งผลต่อคำว่าสุขภาพทั้งระบบ นี่แหละครับที่ผมได้เรียนรู้จากชาวบ้านเมื่อถามถึงนิยามของสุขภาพของท่าน ว่าเขาหมายถึงอะไร อสม.ที่ป่าพะยอมท่านหนึ่งตอบผมอย่างรวดเร็วเลยว่า หมายถึง "ชีวิต" ท่านต่อให้อีกว่า เพราะหากเมื่อเราตาย สุขภาพของเราก็มลายไปด้วยพร้อมสังขาร...
ชั่วการมีชีวิตหนึ่ง ๆ ใช่จะนานและใช่จะแน่นอน น่าจะช่วยกันก่อเกิดสิ่งดี ต่อตัวเอง และ สังคม ให้อยู่อย่างสุขสงบ กันดีกว่าอย่างที่คุณก้ามปูว่าไว้นะครับ
คุณหมอมัทนา ครับ
ผมตอบ คห.คุณก้ามปูไปเสร็จแล้วกลับมาตั้งใจอ่าน คห.คุณหมอ เลยทำให้ต้องย้อนกลับไปอ่าน คห.ที่ให้ไว้ตะกี้อีกครั้งครับ หากผมจะเชื่อว่า "สุขภาพ" ก็คือ "ชีวิต" อย่างที่ อสม.ท่านเชื่อแล้วผมยกว่า ฉะนั้นที่ว่า "ชีวิตหรือสุขภาพ ก็จะเป็นเพียงเครื่องมือไปนำสู่สิ่งที่เราให้ความสำคัญ" และสิ่งสำคัญนั้นคืออะไร มีเรื่องเล่าต่ออีกครับ
เมื่อค่ำของเมื่อวานผมไปนั่งพูดคุยแบบพี่ ๆ น้อง ๆ กับ พี่นิพัฒน์ ประธานสภาคนพิการทุกประเภท จว.พัทลุง พี่ท่านบอกผมว่า (น้ำตาเอ่อ ๆ ...ด้วย) "ผมเพิ่งพบว่า ความสุขที่แท้จริงคืออะไร ก็ตอนที่ได้ไปพบและช่วยเหลือคนพิการด้วยกันให้ลุกขึ้นมาสู้กับชะตาชีวิตตัวเองนี่แหละ"
เรื่องนี้ที่คุณหมอทิ้งท้ายไว้ ผมตอบเป็นเรื่องที่เล่าข้างต้นนะครับ ส่วนผมเองนั้นได้พบก่อนหน้าพี่นิพัฒน์ แล้ว จึงได้ไปชักชวนพี่นิพัฒน์และเพื่อน ๆ ออกมาทำงานแบบจิตอาสา อย่างที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันครับ
คุณ - TwentyAngle - ครับ
ยินดีมาก ๆ เลยครับที่เข้ามา ลปรร.กัน ทั้ง 3 คห.ล้วนทรงคุณค่า คราก่อนที่หาย ๆ ไป ส่วนหนึ่งก็เพราะดูแล้ว มีแต่ คห.ที่ช่วยเพิ่มความลุ่มหลง หลงไหล ผมชอบ คห.แบบนี้ที่ต่อยอดความรู้กัน (ยิ้ม ๆ) นั่นก็เป็นสุขภาพด้วยนะครับ สุขภาพระดับจิตวิญญาณที่ไม่ดี เพราะเรื่องจะชอบไม่ชอบก็ยังเลือก (ฮิๆๆ)
เห็นด้วยว่า ชีวิตไม่มีอะไรที่แน่นอน ทุกข์จากการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสมบัติติดมาตั้งแต่ที่มีการเกิด แต่ผมมองอย่างนี้นะครับว่าอย่าคิดต่อสู้กับอะไรเลยดีกว่า แสวงหาสุขร่วมกันที่เป็นแบบไม่มีใครทุกข์ดีกว่า ทำเท่าที่ทำได้ครับ ไม่ทุกข์ด้วย
ยิ้ม ๆ อีกสักที ก่อนกล่าวคำว่าสวัสดีนะครับ
ขอบคุณค่ะที่ตามมาตอบ : )
เห็นด้วยทุกอย่างค่ะ และเพราะเห็นด้วยนี่แหละค่ะ เลยทำให้คิดว่า...
ถ้าสุขภาพ (แบบองค์รวม) ก็คือ ชีวิต (ที่มีความหมาย)
ถ้างั้นประโยคที่ว่า สุขภาพไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการก็คงไม่ถูกต้องนักใช่ไม๊ค่ะ
เพราะกรณีพี่นิพัฒน์นี่ก็ถือว่าเป็นคนที่สุขภาพดีคนหนึ่งในนิยามองค์รวม
แล้วถ้าเราสุขภาพดีในนิยามนี้แล้ว ยังมีอะไรที่เราให้ความสำคัญมากกว่านี้อีกหรือ?
สิ่งที่เราแต่ละคนให้ความสำคัญต่างๆที่เคยยกตัวอย่างไป ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเติมเต็มสุขภาพ(ชีวิต)มากกว่า ที่จะเป็นจุดหมายต่อยอดออกไป
นี่แหละค่ะที่งง
แต่เคยสรุปกับตัวเองว่า อย่าคิดมากเลย นิยามนี้เค้าบัญญัติมาเพราะมองในมุมกลับกันมากกว่า ว่า ถึงแม้ร่างกายไม่สมบูรณ์ แต่ ใจ กับ จิต ดี ก็แปลว่าสุขภาพดี : )
คุณพี่ ศุภลักษณ์ ครับ
ขอบคุณนะครับที่แวะเข้ามาเสมอ ๆ เป็นกำลังใจดีครับ เอาเป็นว่าว่างแล้วผมจะออกเดินสายเยือน Blog พี่ ๆ น้อง ๆ ที่ติดตามกันเสมอ ๆ นะครับ
เมื่อก่อนตามอ่านทั้งหมด แล้วค่อย ๆ ลดลง ตามปริมาณบันทึกที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ มันแปรผกผันกันนะครับ
คุณหมอมัทนา ครับ
สุขภาพน่าจะไม่ใช่สิ่งสุดท้ายนะครับ สำหรับผมมองว่าความสุขแท้ครับ เป็นสิ่งสุดท้าย ขอตอบ...แบบฟันธงนิ
คุณก้ามปู ครับ
ไม่เป็นไรนะครับ นี่เป็นสัญญาณที่ดีของการต่อยอดความรู้กันนะครับ หลังจากที่เปิดประเด็นด้วยบันทึก... ผมชอบจังเลยครับสำหรับคำพูดของคนพิการรายนั้น น่าจะเป็นต้นแบบที่ดีได้เลยนะครับ "ท้อทำไม ท้อแล้วได้อะไร สู้สิ ท่านต้องหาย 90 %" แล้วตกลงใครไปให้กำลังใจใครกันแน่นี่ครับ แบบนี้สินะที่เป็น Win-Win to Happiness ว่าไหมครับ