เนื้อหาที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นบทสะท้อนอย่างสังเขปต่อความเข้าใจ และการปฏิบัติเรื่องสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย ที่ต้องนำเอาเรื่องวัฒนธรรมและค่านิยมมาพิจารณาร่วมกัน
à สิทธิมนุษยชนกับวัฒนธรรม
สิทธิมนุษยชนในสังคมไทยเป็นเรื่องที่ต้องพึงพิจารณาควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจบริบทของสังคมไทย โดยเฉพาะเรื่องของวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติและค่านิยมทางสังคม ซึ่งในด้านหนึ่งจะเห็นว่าสิทธิมนุษยชนได้หนุนเสริมต่อการปฏิบัติเรื่องสิทธิมนุษยชน ในอีกด้านหนึ่งก็พบความขัดแย้งของทั้ง 2 มิติ ทั้งนี้สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมหรือประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาในบางเรื่องของสังคมไทย อาจไม่ใช่วิถีการปฏิบัติตามปรัชญาสิทธิมนุษยชน จึงอาจถูกมองว่านั่นเป็นการละเมิดสิทธิ แต่ทว่าการปฏิบัติเช่นนั้นเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยและครรลองการปฏิบัติเช่นนี้ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ของคนในสังคมดำเนินมาอย่างราบรื่นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในที่นี้จะนำเสนอปรากฏการณ์ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน เพื่อนำไปสู่การคิดพิจารณา หาแนวทางที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติเรื่องสิทธิมนุษยชนที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายเพื่อความผาสุกของสังคม
1. ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนเพื่อพี่น้องและผองเพื่อน หรือเพื่ออำนาจบารมี ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยมีการปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน อันที่จริงแล้วระบบอุปถัมภ์มีคุณค่าด้านบวกอยู่ในตัวเอง ทั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนในสังคมที่มีความใกล้ชิด มีความสนิทสนมและผูกพันต่อกัน นอกจากนี้ยังอธิบายได้ถึงการช่วยเหลือเจือจุนของผู้ที่มีมากกว่าต่อผู้ที่มีน้อยกว่า ทั้งในเรื่องทางเศรษฐกิจและสถานะทางสังคม นอกจากนี้ระบบอุปถัมภ์ยังนำไปสู่การแสดงความกตัญญูรู้คุณจากผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือที่มีต่อผู้มีพระคุณ อย่างไรก็ตามระบบอุปถัมภ์อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ในภาวะของสังคมปัจจุบัน โดยการบิดเบือนคุณค่าของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไปเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนกัน เป็นการสร้างฐานอำนาจและบารมีของผู้ที่มีสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่สูงกว่า และชักนำไปสู่การตักตวงผลประโยชน์ให้แก่กลุ่มพวกพ้องอย่างขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ดังที่ปรากฏให้เห็นทั้งในระดับกลุ่มย่อย และสังคมใหญ่ในปัจจุบัน
2. ระบบอาวุโส :ความสัมพันธ์เพื่อสร้างสรรค์ หรืออุปสรรคต่อการพัฒนาบุคคล มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ย่อมนำพาให้บุคคลนั้นเจริญวัยขึ้นไปตามช่วงวัยของชีวิต ซึ่งหากเปรียบเทียบในความแตกต่างระหว่างวัยแล้ว ก็จะแบ่งออกเป็นเพียงผู้ที่เยาว์วัยกว่าและผู้ที่มีอาวุโสมากกว่า ดังเห็นได้จากธรรมเนียมปฏิบัติของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่ เช่น การไหว้ การยืน การนั่ง ในขณะที่สนทนากับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นคุณค่าที่ดีที่พึงสืบทอดต่อไป ในอีกด้านหนึ่ง ระบบอาวุโสก็มีมิติด้านลบอยู่ในตัวเอง ถ้าหากถูกบิดเบือนคุณค่าของการให้ความเคารพนับถือของบุคคลไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล เช่น บุคคลใช้อายุที่มากกว่าของตนไปทำให้ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า ได้รับความอึดอัดใจหรือได้รับความกดดัน ซึ่งบ่อยครั้งปรากฏการณ์ลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้นในสถาบันต่างๆที่มีความมั่นคงทางโครงสร้างและใช้ระบบมาเป็นตัวกำหนดควบคุม เช่น สถาบันโรงเรียน สถาบันราชการ สถาบันศาสนา สถาบันครอบครัว เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ในสังคมโรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่หล่อหลอมทางสังคมตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่น เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าในบรรยากาศของโรงเรียน ความสัมพันธ์ระหว่างอาวุโสกับอำนาจที่ใช้เพื่อการปกครองเป็นเรื่องที่แทบจะแยกออกจากกันไม่ได้เลยทีเดียว การปฏิบัติโดยมีอำนาจที่แฝงเร้นจากฐานะที่อาวุโสกว่า เพื่อเป้าหมายของการจัดระเบียบสังคมในระดับย่อย อย่างไรก็ดีการใช้ความอาวุโสระหว่างผู้บริหารกับลูกน้อง เช่นนี้ได้รับการทบทวนในประเด็นของการกระทำที่กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์หรือไม่ เช่น เรื่องของชั่วโมงการทำงานของครู บทบาทหลักในฐานะครูที่ถูกบิดเบือนด้วยภาระหน้าที่เสริมอื่นๆจากโรงเรียน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นครูที่มีปรัชญาที่สำคัญคือการสร้างคนให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของสังคม นอกจากนี้การใช้ความอาวุโสของครูที่ปฏิบัติต่อเด็ก ครูจำนวนไม่น้อยที่ใช้สถานภาพและอำนาจที่แฝงเร้นในความเป็นผู้ใหญ่ของตนไปในทางที่ควบคุมมากกว่าที่จะเอื้อให้เกิดการแสดงออกซึ่งความมั่นใจ ความกล้า ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเด็ก บ่อยครั้งครูจะกลายเป็นผู้พิพากษาที่ตัดสินเรื่องผิดหรือถูก ทั้งๆที่ในสายตาของเด็กไม่ใช่เรื่องผิดถูก แต่เป็นการลองทำและการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ของชีวิต หลายๆครั้งที่ครูได้ใช้อคติของตนในการเลือกปฏิบัติต่อเด็ก และที่พบเห็นบ่อยคือ การที่ครูใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมต่อเด็ก เพื่อสร้างความรู้สึกละอาย สูญเสียความมั่นใจของเด็ก หรือเป็นที่รังเกียจจากเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งในประเด็นนี้ วัฒนธรรมที่ดีงามในเรื่องของความอาวุโส กลายเป็นเรื่อที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรง ซึ่งเด็กเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่มักจะถูกกระทำ โดยที่เด็กเองยังไม่ทราบถึงความเท่าเทียมกันในเรื่องของศักดิ์ศรี อันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด อันทำให้เด็กมีความเท่าเทียมกับผู้ใหญ่ และต้องไม่ถูกกระทำ ถูกเลือกปฏิบัติ หรือถูกละเมิดจากสภาพที่เขาเป็นเด็กอยู่
-----------------------
ไม่มีความเห็น