ช้าหรือเร็ว...แรงบันดาลใจจากภูฏาน (4-111)


เราทุกคนควรมี "ความฝัน/เป้าหมาย" เสียแต่อายุยังน้อย เพื่อทุกคนจะได้กำหนดเส้นทางชีวิตของตนเองอย่างเป็นอิสระและมีศักดิ์ศรี

ช้าหรือเร็ว...ไม่สำคัญเท่ากับ... เริ่มเมื่อไร?

เร็วนั้นดีแน่ ได้เริ่มก่อน

ช้าก็ดี ที่ได้เริ่มต้น

อย่าหยุดเสียก่อนก็แล้วกัน...


ฉันไปเยือนภูฏาน เมื่อ 24-28 มิถุนายน 2557 ในฐานะนักท่องเที่ยว พบเห็นข้อมูลน่าสนใจหลายเรื่องของภูฏานทำให้ ‘รู้สึก’ มากมาย อยากเขียนหลายเรื่อง ใช่แล้ว...ฉันเขียนจาก ‘อารมณ์/ความรู้สึก’ ก็เลยเขียนไม่เสร็จเสียที แก้ตัวด้วยการเขียนเรื่องสั้นๆ ที่รู้สึก ‘มาก’ กว่าเรื่องอื่นก่อนก็แล้วกัน

ทริปนี้ ฉันได้รู้จักและได้พูดคุยกับคู่สามีภรรยาที่มาทัวร์ด้วยกัน เป็นคู่ที่น่ารักและเปียมสุข สามีอายุเลย 60 ปี และภรรยาวัย 51 ปี ที่ดูแข็งแรงอ่อนเยาว์อย่างไม่น่าเชื่อ หากไม่ถามไถ่อายุคงเดาว่าอายุไม่เกิน 45 ปี ทั้งคู่ไม่มีลูกและไม่ได้ทำงานประจำ... ฟังแค่นี้ก็...ตาโตแล้ว

คุณกิ๊บ ผู้ภรรยาเล่าว่าเดินทางมาแล้วกว่า 100 ประเทศ ตั้งใจจะเดินทางจนกว่าจะไม่ไหวหรือเมื่อเยือนทุกประเทศทั่วโลกแล้ว ซึ่งน่าจะไม่เกินอายุ 60 ปี เพราะอายุมากกว่านี้เดินทางคงไม่ค่อยสนุกและไม่สะดวกเพราะสุขภาพไม่อำนวย คุณกิ๊บใฝ่ฝันและวางแผนที่จะเดินทางรอบโลกตั้งแต่อายุ 13 ปี

คู่สามีภรรยานักเดินทาง-คุณกิ๊บ ผู้เป็นแรงบันดาลใจของฉัน


ในวัย 13 ปี คุณกิ๊บได้อ่านหนังสือนอกเวลาภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง (จำชื่อหนังสือไม่ได้) ทำให้เกิดแรงบันดาลใจว่าจะต้องเดินทางรอบโลกให้ได้ จากเด็กที่สุขภาพไม่แข็งแรง เรียนปานกลาง เธอเดินตามถามผู้ใหญ่ในบ้านว่า ‘อยากเดินทางรอบโลกต้องทำอย่างไร?’ เธอได้คำตอบมากมายและทำตามคำแนะนำเพียง 3 ข้อหลักๆ คือ “ต้องมีร่างกายแข็งแรง เรียนเก่งๆ เก็บเงินเยอะๆ

เด็กวัย 13 ปี มุ่งมั่นไปสู่ ‘เป้าหมาย’ ทุกวัน เริ่มออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่อเข้าเรียนในสาขาวิชาที่จะเก็บเงินได้เยอะๆ เธอสอบเข้าเรียนที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และสอบเข้าศึกษาต่อในคณะที่เกียวกับบัญชีและพาณิชยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง เมื่อจบการศึกษาก็เข้าทำงานในบริษัทด้านการเงิน ทำงานและศึกษาวิธีการเพิ่มพูนทรัพย์สินเงินทอง... เพื่อเดินทางรอบโลก หลายคนรอบตัวแนะให้เธอเรียนต่อระดับที่สูงขึ้น แต่เธอไม่เรียนต่อ มุ่งหน้าทำงานเก็บเงินทองในทุกวิถีทาง คุณกิ๊บเล่าว่าเริ่มเดินทางจริงๆ เมื่ออายุ 30 ปีแล้ว และเมื่ออายุ 35 ปี เธอเกษียณตัวเองจากการทำงาน และเริ่มมีอาชีพหลักเป็น ‘นักเดินทาง’ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน 16 ปีแล้ว ฟังแล้วอึ้ง...เกษียณอายุจากการทำงานเมื่ออายุ 35 ปี...อืมมมมม น่าทึ่งจริงๆ

ทิวทัศน์ระหว่างทางจากเมืองพาโร ไปยัง เมืองหลวง ทิมพู

อ้อมแอ้มๆ ขออนุญาตถามเธอว่า...นักเดินทางนี่ต้องใช้เงินเยอะมากไหม ต้องเก็บเงินเท่าไรจึงจะ ‘เกษียณ’ แล้วออกมาเดินทางอย่างเดียวโดยไม่ทำงาน เธอยิ้มหวานตอบว่า... ‘"ไม่ได้ทำงาน แต่หาเงินมาจำนวนหนึ่ง แล้วให้เงินทำงานให้" .... ว้าวววววววว นอกจากนี้คุณกิ๊บยังบอกว่า การเดินทางนั้นก็คือการทำงานอย่างหนึ่งเพราะทั้งคุณกิ๊บและสามี วางแผน หาข้อมูล ติดต่อในการเดินทางแต่ละที่ด้วยตัวเอง ยกเว้นบางประเทศที่ไปกับบริษัททัวร์ ดังนั้นการเดินทางคือการเรียนรู้และเป็นการทำงานซึ่งทั้งคู่รัก

คิดพลางยิ้มพลาง...

ฉันรักที่จะเดินทาง ไม่ต้องรอบโลก แต่ได้ไปในที่ซึ่งอยากไป แม้ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่อง เงิน(ในตอนนี้) แต่ ก็ถูกจำกัดด้วย เวลา เฮ้อ…ฟังเรื่องราวของนักเดินทางทั้งคู่แล้ว อดหันมามองตัวเองไม่ได้...

เพิ่มเติมไว้อีกนิด...

เมื่อมอง "ตัวเอง" ผ่าน "คนอื่น" คิดไม่ออกว่าตอนตัวเองอายุ 13 ปีนั้น มีความฝันหรือเป้าหมายอะไร... แล้วก็พบว่าตั้งแต่เด็ก คิดเพียงแต่ว่าต้องเรียนหนังสือให้เก่งๆ ก็เลยอมยิ้ม...ก็ไม่แปลกหรอก หากฉันคิดได้อย่างคุณกิ๊บ ฉันก็คงได้เดินทางมากกว่านี้แล้วน่ะสิ...คิดเลยเถิดต่อไปว่า เราทุกคนควรมี "ความฝัน/เป้าหมาย" เสียแต่อายุยังน้อย เพื่อทุกคนจะได้กำหนดเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างเป็นอิสระและมีศักดิ์ศรี

เอาล่ะ...เริ่มช้าก็ดีกว่าไม่เริ่ม...นะ...

Let’s go… ไปด้วยกันไหมคะ?

หมายเลขบันทึก: 572027เขียนเมื่อ 8 กรกฎาคม 2014 21:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กรกฎาคม 2014 08:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

เป็นประเทศที่คุณมะเดื่ออยากไปมากที่สุดจ้ะ  แต่คงไม่ได้ไปจริง ๆ หรอก  เฮ้อ..!

สวัสดีค่ะคุณ คุณมะเดื่อ

หากอยากไป เราก็จะได้ไปในวันหนึ่งค่ะ

ช่วงนี้เป็นช่วงราคาทัวร์พิเศษ เพราะเป็น low season ของภูฏาน อีกทั้งยังครบรอบสัมพันธ์ไทย-ภูฏาน 25 ปี คนไทยได้สิทธิ์เที่ยวในราคาถูกกว่าปกติค่ะ  ;)

ถามมาด้วยความอยากรู้..ว่า...เขา...ทำเงิน..ให้พาเที่ยว..ได้..ไงเนี่ยะ..ต้องก้อนโตแค่ไหน...ดอก.นหดเหมือนมะนาวหน้าแล้งอ้ะะ...บีบไม่อ้อก....แชร์แม่ชม้อย..ก็เอาตังค์ไปฝังดิน..โหยหวย...ก็ผุบๆโผล่..อ้ะะะๆๆๆ

ไป ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ค่ะ    ตามอ่านไงคะ   น่าสนุกจัง

ยินดีด้วยนะครับ กับสิ่งที่เริ่ม 

ไม่สายนะครับ ....คุณหยั่งรากครับ

...

 ชอบมากครับ  ความฝันและเป้าหมาย จากบันทึกนี้ ครับ

...

มีความสุขเช่นกัน ครับ

พี่ Green หนีเที่ยวนี้เอง หายไปนาน 5555

สวัสดีค่ะคุณ ยายธี

ไม่ทันได้ถามรายละเอียดของท่านทั้งสองค่ะ เพราะกว่าจะได้คุยกับท่านก็เข้าวันที่ 3 ของการเดินทางแล้ว... 
เรื่องการ "ใช้เงินทำงานให้" เราแทนนี่ หนูก็เคยได้ยินได้ฟังมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก แต่ตอนนี้เริ่มหันมาสนใจแล้วค่ะ  ;)

สวัสดีค่ะคุณ ธิรัมภา

เขียนไม่เสร็จเสียทีค่ะ เรื่องที่อยากเขียนเกี่ยวกับภูฏานมากจริงๆ ค่ะ 

สวัสดีค่ะคุณ แสงแห่งความดี...

คิดได้ว่าควรมี ความฝันและเป้าหมาย ในตอนนี้คงยังไม่สายเกินไป...

เราทุกคนมีสิทธิ์และได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ  ;)

สวัสดีค่ะท่าน วิชญธรรม

หายไปนานด้วยหลายสาเหตุค่ะ

มี เป้าหมาย/ความฝันใหม่ๆ ที่ต้องไปทำบ้าง  อยากทำ/อ่าน/เดินทางพบเจอคนและเรื่องใหม่ๆ บ้าง...

แต่กัลยาณมิตรที่นี่ ก็เป็นคนส่วนใหญ่ที่พี่ยังระลึกถึงอย่างมีความสุขค่ะ

น่าสนใจมาก

ใช้เงินทำงานแทนให้

ขอบคุณมากๆครับ

สวัสดีค่ะอ.ขจิต ฝอยทอง

ขอบคุณค่ะ และเรื่องการใช้เงินให้ทำงานแทนนี่... กำลังลองศึกษาอยู่ค่ะว่าต้องทำอย่างไร  ;)

ผมว่า ..... เราไม่ต้องใช้เงินทำงานให้ ก็ได้  ........ แต่ต้องเดินอีกทางนะพี่Green และผมว่า ดีกว่าด้วย :)

หลวงปู่เพิ่งสอนผม และญาติโยม มา ..............

หลวงปู่ถาม:  เราจะหาเงินมามากมายไปทำไม?  ท้ายที่สุดมีอะไรที่เราเอาไปได้บ้าง? (แล้วเมื่อไหร่ เท่าไหร่ถึงจะพอ แล้วมันจะจบลงตรงไหน หรือเราต้องตั้งเวลา "พอ" เมื่อไหร่ ? อันนี้ผมถามต่อ 555)

จริงๆแล้วเราได้ยินคำพูดเหล่านี้มามากครั้งเต็มที ผมเชื่อว่า.  ......  

อีกนัยหนึ่งที่หลวงปู่ชี้ คือ เมื่อไหร่ เราจะคิดได้ เลือกได้ว่า จะย้ายบ้านทางโลก (สมมุติ) ซึ่งมีคำวา "อยาก" นำหน้า ........ย้ายมาอยู่ทางธรรม (วิมุติ)  ซึ่งจะมีคำว่า "พอ" ซะที ........  ยากเนาะพี่? (ถ้าทำได้คงไม่มานั่งพิมพ์ๆอยู่อย่างงี้หรอก 555)

หลวงปู่สอนปิดท้าย (สำหรับผมว่า หลวงปู่แซว!!?? ให้คิด)

...หลวงปู่ใช้คำพร้องเสียงของภาษากลางกับ คำพูดภาษาอีสาน   .........

"ฮู้แล้วละ"  ซึ่งหมายถึง เรื่องที่บอกมานั้น ฉันรุ้แล้ว เข้าใจแล้ว (ถ้าทำเสียงรำคาญก็หมายถึง รู้แล้วไม่ต้องมาบอกอีก) ซึ่งภาษากลางก็จะพูดว่า " ฉันรู้แล้วหละ "

หลวงปู่ : " .....ที่บอกนี้ว่า  ถือของนี่มันหนัก ก็ให้วางมันซะ ...... คนคึซิ (ก็จะ)ตอบว่า ..' ฮู้แล้วละ ' "   

หลวงปู่: ย้ำคำว่า "  ..' ฮู้แล้วละ  ..' ฮู้แล้วละ ...."  

ซึ่งจริงๆแล้ว หลวงปู่แซวว่า เรื่องทุกเรื่องก็รู้หมดแล้ว นักปฏิบัติเราควรที่จะ ..."ละ" กันได้แล้ว............รู้แล้ว  " ละ "  .............."ฮู้แล้วละ"     555555

//  ยาวแต่ตอบไม่รู้เรื่อง 5555  ขอเอาไปลงในบันทึกผมนะครับ 555 //

สวัสดีค่ะท่าน วิชญธรรม

อ่านแล้วยิ้มๆ (^__^)
ยากจริงๆ เรื่องจะย้าย บ้านทางโลก (สมมุติ) มาอยู่ทางธรรม (วิมุติ) บางทีก็ดูเหมือนจะ “ฮู้” แต่ก็ยัง “ละ” ไม่ได้ หลายครั้งก็ “ฮู้” แล้ว “ละ” แล้ว (ล่ะ)<p>ส่วนเรื่องใช้เงิน(ที่พอมีอยู่) ทำงานให้ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการยังชีพตามอัตภาพ ไม่ลำบากตนเองและไม่ลำบากคนอื่นๆ ต้องคอยเตือนตัวเองว่า พอประมาณ มีสติ อย่าให้ “เกิน”ไปจากที่ตั้งใจไว้ค่ะ

</p><p>ปล. อธิบายรู้เรื่องดีค่ะ แต่อาจรู้ไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ได้</p><p>ขอบคุณค่ะ</p>

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท