การบริการวิชาการแก่สังคมของมหาวิทยาลัยมหาสารคามภายใต้ชื่อโครงการ “หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน” ไม่ได้มีจุดเด่นแต่เฉพาะเรื่องการบูรณาการภารกิจหลักทั้ง 4 ประการเข้าด้วยกันเท่านั้น (การเรียนการสอน > การบริการวิชาการ > การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม > วิจัย) หากแต่มีระบบและกลไกที่เป็นจุดเด่นอยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นก็คือ “ระบบและกลไกการหนุนเสริม”
ระบบและกลไกการหนุนเสริมดังกล่าวหมายถึงกระบวนการทำงานที่คณะกรรมการกลางระดับมหาวิทยาลัย (คณะกรรมการบริหารโครงการฯ) ได้ออกแบบรองรับกระบวนการขับเคลื่อนกิจกรรมของแต่ละหลักสูตรในสองมิติใหญ่ๆ คือ (1) การขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ (ชุมชน) และ (2) การขับเคลื่อนภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจจะหมายถึงการจัดอบรมเสริมศักยภาพในด้านต่างๆ เช่น การเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล การถอดบทเรียน การจัดเวทีมหกรรมการเรียนรู้ การจัดทำสื่อ นวัตกรรมและฐานข้อมูล ฯลฯ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กระบวนการหนุนเสริมมิได้ถูกตีกรอบอยู่แต่เฉพาะการขับเคลื่อนข้างต้นเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงกระบวนการของการ “ติดตามความคืบหน้า” การดำเนินงานของแต่ละหลักสูตร หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปในกลุ่มคนทำงาน คือ “ติดตามหนุนเสริม” ด้วยเช่นกัน
เฉกเช่นกับล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ได้เรียนเชิญผู้รับผิดชอบหลักโครงการฯ ของแต่ละหลักสูตรที่ยังดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จมาพบปะพูดคุยและเล่าสู่กันฟัง
เน้นการเล่าเรื่องแบบเครือญาติ (บอกข่าวเล่าความ)
เวทีดังกล่าวนี้ถึงแม้จะจำกัดด้วยโครงสร้างห้องประชุมที่เต็มไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้และเครื่องเสียงก็เถอะ แต่ผมและทีมงานก็เน้นกระบวนการที่ไม่เป็นทางการ เน้นการบอกเล่าสู่กันฟังว่า “ทำอะไร ทำอย่างไร ทำถึงไหน ติดขัดปัญหาอะไร มีอะไรให้ช่วยเหลือ” โดยไม่บังคับกะเกณฑ์ว่าการบอกเล่าสู่กันฟังนั้นต้องนำเสนอด้วยสื่อ หรือหลักฐานต่างๆ รวมถึงการไม่กำหนดว่าใครต้องพูดก่อนพูดหลัง ทุกอย่างเน้นการ “เปิดใจ-เชื่อใจ” เสมือนเครือญาติมาบอกข่าวเล่าความถึงภารกิจชีวิต หรือปรับทุกข์ให้กันฟังก็ไม่ผิด
แน่นอนครับ เวทีเช่นนี้จริงๆ จะว่าไปแล้วก็คือจัดเวทีเพื่อ “กำกับติดตาม” หรือ “ประเมินผล” ดีๆ นั่นเอง เพียงแต่มุ่งเน้นวิธีการที่เป็นกันเอง เรียบง่ายเหมือนคนในครอบครัว หรือเครือญาติกำลังนั่งพูดคุย (โสเหล่) กัน เสมือนการตอกย้ำให้รู้ว่า “แต่ละหลักสูตรไม่ได้ดำเนินงานอย่างเดียวดาย “ หากแต่คณะทำงานจากส่วนกลางในระดับมหาวิทยาลัยฯ ยังคงเฝ้ามอง และหนุนเสริมพลังอยู่เนืองๆ มิใช่ปล่อยให้เผชิญชะตากรรมอยู่กลางป่า เหมือนลอยเคว้งอยู่กลางทะเลลึกที่มองยังไงก็มองไม่เห็นฝั่งอย่างที่เข้าใจ
บอกเล่าปัญหา (ข้อจำกัด)
เวทีแห่งการบอกเล่าเรื่องราวดังกล่าวนี้ มุ่งให้แต่ละหลักสูตรได้สื่อสารความคืบหน้า หรือสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่าทำงานถึงไหน ติดขัดอะไร และต้องการให้ช่วยเหลืออะไรบ้าง ซึ่งในภาพรวมของแต่ละหลักสูตรนั้นได้สื่อสารและสะท้อนถึงปัญหา อุปสรรค หรือข้อจำกัดที่ทำให้ขับเคลื่อนล่าช้า 2 ประการใหญ่ ๆ ดังนี้
(1) ข้อจำกัดในระดับชุมชน หรือท้องถิ่น โดยปัญหาที่พบมากที่สุดจนก่อให้เกิดความล่าช้าของการดำเนินงาน ประกอบด้วยปัญหาสำคัญๆ คือ อยู่ในช่วงของการเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งในระดับผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงองค์การบริหารงานส่วนตำบล (อบต) และเทศบาลตำบล ซึ่งทำให้อาจารย์และนิสิตต้องชะลอโครงการออกไปเป็นระยะๆ เพื่อมิให้โครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนกลายเป็นกลไก หรือถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือการเมืองในระดับท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังค้นพบปัญหาอื่นๆ อีกจำนวนไม่น้อย เช่น ชาวบ้านติดภารกิจสำคัญๆ เช่น ทำนา เกี่ยวข้าว รวมถึงประเพณีและกิจกรรมหลักในหมู่บ้าน ทั้งที่อยู่ใน “ฮีตฮอย” ประจำปีและที่เป็นกิจกรรมแทรกขึ้นมาตามครรลองชีวิตของคนในชุมชน เช่น ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ผ้าป่า งานศพ หรือแม้แต่เป็นติดขัดกับสภาวะดินฟ้าอากาศ ฝนตกหนัก ในบางพื้นที่เข้าถึงได้ยากลำบาก จึงจำต้องปรับแผนออกไปเป็นระยะๆ เพื่อมิให้เป็นภาระของชาวบ้าน
(2) ข้อจำกัดในระดับหลักสูตร โดยปัญหาที่พบมากส่วนใหญ่มักยังขาดทักษะเรื่องการเขียนรายงานผลการดำเนินงาน เพื่อสื่อให้เห็นถึงการ “บูรณาการภารกิจ” (4 In1) เข้าด้วยกัน นอกจากนั้นยังค้นพบข้อจำกัดอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง เช่น ดำเนินการเสร็จแล้วแต่ยังไม่มีเวลาได้เขียนอย่างจริงๆ จังๆ ดำเนินการเสร็จแล้วแต่อยู่ระหว่างการวิเคราะห์ผล (พิถีพิถัน,ข้อมูลมีจำนวนมาก)
หรือแม้แต่ประเด็นอื่นๆ เช่น ดำเนินการยังไม่เสร็จ เพราะยังต้องรอให้นิสิตว่างเว้นจากการสอบ หรือรอนิสิตกลุ่มใหม่ในภาคเรียนที่ 2 ที่ต้องเข้ามาจัดกิจกรรมต่อเนื่องจากกลุ่มเก่าในภาคเรียนที่ 1 จึงพลอยให้แผนปฏิบัติงานที่วางไว้ตั้งแต่ต้นได้รับผลกระทบไปโดยปริยาย
กำหนดแนวทางคลี่คลายร่วมกัน
ภายหลังการบอกข่าวเล่าความข้างต้นแล้ว คณะกรรมการบริหารโครงการฯ รวมถึงผู้รับผิดชอบหลักของแต่ละหลักสูตรที่ดูแลโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน หรือแต่ละโครงการได้ “หารือร่วมกัน” โดยกำหนดแนวทางอันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อนำไปสู่การผ่อนคลายระบบและกลไกในระดับหลักสูตรเพราะมิเช่นนั้นหากยังไม่แล้วเสร็จ หรือไม่ส่งหลักฐานฯหลักสูตรนั้นๆ จะไม่สามารถดำเนินงานในปีงบประมาณใหม่ได้ เท่ากับว่าหลักสูตรที่ว่านั้นก็โดน “แช่แข็ง” การบริการวิชาการในมิติหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนไปในตัว ซึ่งการคลี่คลายร่วมกันได้ถูกออกแบบร่วมอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นต้นว่า
หมุดหมายใหม่ของการขับเคลื่อน
และจากเวทีแห่งการหนุนเสริมดังกล่าวนี้ ทั้งคณะกรรมการบริหารโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนและผู้รับผิดชอบหลักในแต่ละโครงการ ได้เห็นพ้องต้องกันว่าในปีถัดไปนั้น จุดอ่อน หรือข้อจำกัดเหล่านี้จะถูกขยายผลปรับแต่งในกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะส่วนหนึ่งได้บรรจุไว้ในแผนปฏิบัติงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือ
นอกจากนั้นยังบรรจุแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเขียนรายงานผลการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการเขียนรายงานที่สามารถอ่านและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ทั้งนั้นยังรวมถึงการหนุนเสริมทักษะการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลไปพร้อมๆ กัน
ครับ-นี่คือจุดแข็งในกระบวนการ “ติตตามหนุนเสริม” ในวิถีการทำงานของโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการหนุนเสริมที่มีกลิ่นอายการจัดการความรักควบคู่ไปกับการจัดการความรู้ที่มุ่งให้เห็นถึงการทำงานอย่างเป็นทีม เรียนรู้ไปด้วยกัน ทำไปเรียนรู้ไป มีระบบเกื้อกูล แบ่งปัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยเหมือนเครือญาติ หรือ “คนบ้านเดียวกัน” หาใช่การ “กำกับติดตาม” แบบแข็งๆ และไร้ชีวิต
ชอบแนวคิดและโครงการนี้นี้มาก ๆ จ้ะ
ชอบใจการทำงานไม่เป็นทางการ
“ทำอะไร ทำอย่างไร ทำถึงไหน ติดขัดปัญหาอะไร มีอะไรให้ช่วยเหลือ”
ทำให้เกิดงานได้ดีจริง
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับ คุณมะเดื่อ
สิ่งหนึ่งที่ท้าทายน่าดูในโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ก็คือ เป็นงานบริการวิชาการที่ "นิสิต" (ผู้เรียน) มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งกับกระบวนการ "บริการวิชาการแก่สังคม" ร่วมกับ "อาจารย์" และ "ภาคี" อื่นๆ ซึ่งสิ่งที่นิสิตได้รับจากการทำงานโครงการนี้ ไม่เพียงแค่เรื่องการนำทฤษฎี-ความรู้ไปสู่การปฏิบัติเท่านั้น หากแต่หมายถึงการบ่มเพาะเรื่องจิตอาสาไปในตัว ครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังรวมถึงการได้เรียนรู้วิถีชีวิตคนในชุมนอันเป็นสถานการณ์จริง ด้วยเช่นกัน...
สวัสดีครับ คุณธีระวุฒิ ศรีมังคละ
มีพื้นที่ใด-ชุมชนใด รวมถึงประเด้นอะไรที่น่าสนใจบ้าง ประสานและติดต่อให้ข้อมูลมาเลยนะครับ จะได้จัดทำเป็นฐานข้อมูล รวมถึงลงพื้นที่หนุนเสริมเรียนรู้ร่วมกันไปในตัว
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
เป็นการติดตามงานที่คั่งค้างครับ แต่ปรับแต่งรูปแบบวิธีการเน้นการเรียนรู้ร่วมกันในแบบญาติมิตร....
ผมเลยเรียกว่า "ติดตามหนุนเสริม" ไม่ใช่ "กำกับติดตาม" ครับ
ชอบแนวคิดแบบนี้มากๆค่ะ...
สวัสดีครับ พี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ
หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน คือทิศทางใหม่ของการเรียนรู้แบบบูรณาการครับ ชุมชนเป็นห้องเรียน-ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และเน้นการเรียนรู้ในหลักคิด "เรียนรู้คู่บริการ" เป็นหัวใจหลัก
ส่วนบันทึกนี้ คือเวทีการติดตามหนุนเสริมงานที่ยังคั่งค้าง เพื่อช่วยกันให้ทลาย-ทะลุกำแพงปัญหาแบบมีส่วนร่วม ครับ
ยอดเยี่ยมค่ะ...พยายามเข้าจะเข้าไปเรียนรู้หาประสบการณ์เพื่อพัฒนางานพัฒนาตนเง
ครับ คุณแดนไท
อย่าหยุดที่จะเรียนรู้
และอย่าสิ้นหวังที่จะเรียนรู้ ครับ