คำคมชีวิต


คำคมชีวิต ที่ลิขิตด้วยตนเอง

มิติของโรงเรียน

        ชีวิตของผม ถ้าจะนับจริงๆ เเสงสว่างของผมก็เริ่มมาตั้งเเต่ ป.6 ที่ในตอนนั้นมีคุณครูท่านหนึ่งที่อสนวิชาสังคมศึกษาในห้อง ครูเป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในตอนนั้น เมื่อได้เรียนวิชาสังคมครั้งใดก็มีความสุขทุกๆครั้ง ซึมซับไปทุกๆวันจนรู้สึกว่าตนเองชอบวิชาสังคมศึกษา เเล้วอยากเป็นครูสังคมศึกษาตั้งเเต่ ป.6 นั้นมา เเล้วเดินๆมาจนถึง ม.1 ต้องมาเรียนต่อที่โรงเรียนประจำอำเภอ เมื่อขึ้นมามัธยมต้น มีงานมากมายที่ผมได้มีดอกาสรับผิดชอบ ทั้งการบ้านเเละการโรงเรียน จนคิดในใจตนเองว่า "ยิ้มเข้าไว้" ซึ่งตลอดระยะเวลา 3 ปี ผมเองพูดคำนี้กับตนเองจนติดปากว่า ยิ้มเข้าไว้ ๆ ในปัญหาที่เกิดขึ้น เเต่พอมาพบพานกับปัญหาครั้งยิ่งใหญ่กับโครงงานที่ยาก ก็เริ่มที่จะยิ้มไม่ออก ทั้งเพื่อนไม่ช่วยบ้างล่ะ ทั้งครูก็ถามอยู่ตลอดบ้างล่ะ ทั้งเราทำไม่สำเร็จบ้างล่ะ คติตนที่ว่า "ยิ้มเข้าไว้" นั้น เริ่มที่จะเชยในความคิด ในครั้งนั้นเมื่อเริ่มที่จะยิ้มไม่ออก เเละหมดกำลังใจ

        ผมเองก็มักที่จะมีนิสัย หาหนังสือคำคมประจำชีวิตมาอ่านเพื่อสร้างเเรงบันดาลใจให้กับตนเอง พออ่านไปอ่านมา กำลังใจก็เริ่มมา พร้อมที่จะทำงานต่อ ด้วยคำที่ว่า "ผู้ชนะไม่เคยลาออก ผู้ลาออกไม่เคยชนะ" พอนึกถึงคำๆนี้ก็มีพลังใจขึ้นจนทำโครงงานที่ครูสั่งได้อย่างพอใจในตนเองที่ต้องต่อยอดต่อไป "ผู้ชนะไม่เคยลาออก ผู้ลาออกไม่เคยชนะ" คำๆนี้ก็ติดปากผมมายาวนานถึงช่วง ม.5 ที่ต้องเดินๆ มาเป็นคณะกรรมการนักเรียน ในช่วงนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นอีก คือ มีเพื่อนลาออกจากคณะกรรมการนักเรียนกระทันหัน ซึ่งในตอนนั้นเรากำลังจะดึงใจให้เขาเข้ามาเพื่อปรับใจเข้าหากัน เเต่ !!! เราเองก็บอกกับเขาว่า "ผู้ชนะไม่เคยลาออก ผู้ลาออกไม่เคยชนะ" เมื่อเพื่อนเราได้ยินคำๆนี้ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เขามีเเนวคิดเช่นนั้น เเต่เราก็เคารพความคิดของเขา เเล้วสุดท้ายเพื่อเราก็ใจหลุดออกจากงานคณะกรรมการนักเรียนจริงๆ เขาบอกกับผมว่า "ฉันลาออก ฉันก็เป็นผู้ชนะได้เช่นเดียวกัน" ทำให้ช่วงนั้นผมเก็บคำๆนี้กลับมาคิดอย่างหนัก ที่บอกว่าผู้ชนะไม่เคยลาออกนั้น จริงหรือเปล่า เพราะการดันทุรังอยู่ไป ก็ไม่มีใจที่ใจอยู่เเล้ว เเล้วการเเพ้ การชนะสำคัญเเค่ไหน เก็บมาคิดจนคิดได้ว่า "ในการทำงานนั้น ไม่มีการเเพ้ ไม่มีการชนะหรอก" มีเเต่การเอาใจเข้าหางานต่างหากเล่า เพื่อให้งานเกิดผลที่ดีมากที่สุด

        คำๆใดในการทำงาน ที่เป็นคำคมหรือเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจ หลายครั้งเราก็ควรที่จะมองว่า สมควรที่จะพูดไปไหม หลายๆครั้ง "เราก็ต้องห้อยเเขวนอารมณ์" ที่เราพูดไผ เพราะเมื่อเราพูดไปเเล้วในความคิดของเรา ไม่รู้ว่าคนอื่นๆเขาจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง อาจนำมาซึ่งการผิดใจกันก็เป็นได้ ทุกๆมีเชื่อว่ามีความฝันมีอุดมการณ์หากเราไปทำลายอุดมการณ์หรือความฝันของเขาด้วยคำพูด หรือการกระทำ รากฐานเเห่งความคิดของเขาอาจสั่นคลอน ทำให้ใจของเพื่อนออกจากงานของเราร่วมกันก็เป็นได้ บทเรียนในครั้งนี้ ครั้งเมื่อได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน ตอน ม.5 สอนผมไว้อย่างให้เห็นเขา "ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา" เพราะทุกๆคนก็มีหัวใจ เดินๆมาในระดับ ม.6 โตที่สุดในโรงเรียนในตอนนี้ ซึ่งเราจะทำตัวเหมือนเด็กๆไม่ได้้เเล้ว คำคมนี้ก็ผุดขึ้นในใจอีกล่ะว่า "เราโตเเล้ว เราเป็นพี่เขาเเล้ว ควรทำตนให้เป็นตัวอย่าง" นับจากนั้นเป็นต้นมาถึงถึงเดี๋ยวนี้ ผมเองก็เลยดำรงค์ คำคมของตนเอง คือ  ยิ้มเข้าไว้  เอาใจสู้  ผ่อนปรนบ้าง  เป็นตัวอย่างให้น้องเห็น 

มิติของโครงการชีวิต

        ผมเองก็เริ่มก่อตั้งฮักนะเชียงยืนขึ้นในช่วง ม.4  นี้เอง ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่ลุกขึ้นมาช่วยให้พ่อๆเเม่ผู้ปกครองในชุมชน ใช้สารเคมีอย่างน้อยที่สุด อย่างปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งในตอนนี้ก็ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลา 2 ปี เต็ม มีเรื่องราวมากมาย ที่คำคมของคนอื่นๆใช้ไม่ได้ผลอันใดเลยต่องาน ต่อการดูเเลหัวใจของผู้ร่วมงาน ซึ่งเราเองก็ต้องมาเรียนรู้เเละสร้างคำคมของตนเองขึ้นเพื่อให้ตนเองปรับใช้กับงาน ในช่วงเริ่มเเรกเดิมทีที่กำลังฝ่าฟัน คำๆคิดเกิดขึ้นในหัว คือ"การเอาชนะใจตนเอง" เเต่พอคิดไปคิดมา ก็เริ่มที่จะเรียนรู้ว่า"การทำงานกับชุมชนนั้น ไม่ได้เป็นการเอาชนะใจตนเอง เเต่เป็นการเอาชนะใจชาวบ้านในชุมชน"เเล้วยังมีปัญหามากมายในการทำงาน ปัญหาที่สำคัญ คือ ชาวบ้านไม่เข้าใจเรา ซึ่งโจทย์ให้ได้คิด คือ จะทำอย่างไรให้ชาวบ้านเข้าใจเราเเล้วหันมาลดสารเคมีให้มากที่สุด คำที่สอง จึงเกิดขึ้นในหัวว่า "อยู่เพื่อเรียนรู้ อยู่เพื่อยอมรับมัน" ดำเนินงานอย่างมีความฝัน เเต่เพื่อเรียนรู้ เพื่อยอมรับ เพราะความฝันนั้น คือ อนาคตที่จะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้ คำที่สามจึงเกิดขึ้นในหัว คือ"ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเเล้ววางเเผนวันข้างหน้าให้ดีด้วย "

        เมื่อมีการวางเเผน มีการดำเนินงาน (นั่นคืองาน)"เมื่อดูเเลงานเเล้ว เราก็ต้องมาคุยกับคน มาดูเเลคน"เพราะงานนี้เป็นงานอาสา เป็นงานที่ไม่ได้เงินเดือน จึงต้องให้มีประกายเเรงบันดาลใจอยู่เสมอ งานถึงจะเคลื่อนได้"เพราะหัวใจของงานอยู่ที่คน" เดินๆมาถึงขั้นนี้ ของโครงการ ที่เรามีรุ่นน้อง ความคิดนี้ก็เริ่มมาผุดขึ้นในหัวอีกว่า "เราเองต้องสร้างความเป็นผู้นำให้น้องศัทธา" สร้างในสิ่งที่เราพอทำได้ ในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง  เดินๆมาถึงบัดนี้ 2 ปีเต็ม ผมเองก็ดำรงค์ คำคมคำนี้ คือ ดูเเลงาน ดูเเลคน  หัวใจงานอยู่ที่คน  เราต้องสร้างให้เกิดผลเเห่งศัทธา

.......................................................................

คำคมตน ที่ลิขิต  ด้วยจิตสว่าง

นั้นนำทาง  จิตใจเรา   ให้ไม่หลง

ยืนหยัดฝัน  ด้วยคำคม    อย่างมั่นคง

เพื่อเตือนว่า   อย่าให้หลง  ในเส้นทาง

ระหว่างทาง  จะพบจุด   ที่ไร้เเสง

จุดเปลี่ยนเเปลง  เเห่งเป้าหมาย  ที่ตนหวัง

เอาความจริง  กับความฝัน  มาเป็นพลัง

 เเสงเเห่งหวัง  จะพบได้  ด้วยคำคม

.

.

.

.

.

.

คำสำคัญ (Tags): #คำคม#คำคมชีวิต
หมายเลขบันทึก: 569154เขียนเมื่อ 26 พฤษภาคม 2014 19:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2014 19:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

เป็นบันทึกปรัชญาในโลกแห่งการงาน-ชีวิต โดยแท้เลยครับ

ดีจังเลยค่ะ อยากให้เยาวชนเขียนได้อย่างนี้ค่ะ

ชื่นชมมากค่ะ...เป็นคำคมแห่งชีวิต จากประสบการณ์จริงนะคะ

ขอขอบพระคุณ อาจารย์ทุกๆท่าน ที่ให้กำลังใจครับ ...

สิ่งที่ยากของยากยิ่ง คือ เราต้องสร้างให้เกิดผลเเห่งศัทธา ... อันนี้ผมเองต้องเริ่มนับ 1 ใหม่อีกเเล้วครับ 

"ผู้ชนะไม่เคยลาออก ผู้ลาออกไม่เคยชนะ" หากคำว่า "ลาออก" หมายถึง "ยอมแพ้" และหาก "ชนะ" แปลว่า "สำเร็จตนเอง" คำคมนี้ย่อมนำมาซึ่งคำว่า "สบาย" และ "ให้อภัย" ในที่สุด ....  

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท