เรียนรู้จากที่ประชุมระพีเสวนา ครั้งที่ ๗/๗


วันที่ ๘-๙ เมษายน ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา จิตวิญญาณของผมถูกยกระดับขึ้นอีกหลังจากที่ได้สดับจากผู้รู้ "ครูของแผ่นดิน" หลายท่าน ในงานระพีเสวนาครั้งที่ ๗/๗ ขอกราบขอบพระคุณมูลนิธิสยามกัมมาจล ที่ได้มอบโอกาสอันมีคุณค่านี้ ให้ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมเรียนรู้ และนำมาแบ่งปันท่านผู้อ่านในบันทึกนี้

หากท่านสนใจจะดูคลิปวีดีโอการบรรยายและเสวนาทั้งหมด โปรดคลิกไปที่ ระพีเสวนาครั้งที่ ๗/๗ ซึ่งรวมเทปบันทึกเกือบจะตลอดงานไว้แล้ว ในบันทึกนี้ ผม "ตัดต่อ" เอาเฉพาะส่วนที่ผมประทับใจได้เรียนรู้มากๆ มาอัฟโหลดใหม่ เชิญท่านพิจารณาเถิด...

ข่าวดีที่สุดที่อยากบอกต่อไปยัง "พ่อๆ" ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ที่มีความ "เชี่ยวชาญ" ด้านทักษะชีวิตและการทำงาน ... ขณะนี้ สถาบันอาศรมศิลป์ ได้เปิดหลักสูตร "ผู้ประกอบการสังคม" ที่ท่านสามารถสมัครเข้าเรียนฟรี...ถ้าท่านเป็นผู้ "ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา (จิตอาสาเป็นนิตย์)" ซึ่งเป็นปรัชญา/ค่านิยมของหลักสูตรฯ ท่านจะได้ "ปัญญาบัตร" ซึ่งเทียบได้ (ความจริงมีค่ากว่า) กับ ปริญญาบัตรที่ใช้ชี้วัดค่าของคนไทยในสมัยนี้ (ประชดครับ)...  ผมขอหลักสูตรฯท่านมาศึกษาแล้ว เพราะกำลังสูตรปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามนโยบาย มมส. ต่อไป ครับ

การเสวนาเริ่มด้วย สุนทรียดนตรีและสุนทรพจน์จาก ศ.ระพี และคณะครูจากโรงเรียนรุ่งอรุณ ... ผมเป็นคนไม่ค่อยเข้าถึงสุนทรียะทางดนตรี แต่สำหรับการเล่าเรื่องของท่าน ผมคิดว่า มีสุนทรียะจนน้ำตามคลอด้วยความปีติทีเดียว

สังเกตว่า แม้ท่านจะอายุถึง ๙๓ ปีแล้ว แต่ยังมีสติปัญญาและความแม่นยำทั้งเนื้อหาและจังหวะสูงมาก ผมคิดว่า ความดี+ดนตรี คือปัจจัยและเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ท่านมี สติ+สมาธิ และ "เย็น" อย่างที่ท่าน"เป็นแบบอย่าง" ในวันนี้.....ผมสัมผัสถึงความจงรักภักดีอย่างที่สุดของท่าน ผมคิดว่า ความดี+ดนตรี นี้เองที่เป็นปัจจัยให้ท่านได้มีโอกาสได้ดำเนินชีวิตใกล้ชิดเบื้องพยุคลบาท


ผมตีความสิ่งที่ท่านเล่าในสุนทรียะโวหารว่า คนไทยส่วนหนึ่งเข้าใจผิด(และโจมตี..ผมเติม) ๒ ประการ  หนึ่งคือเข้าใจว่าในหลวงเป็นมีรายได้มากมายมหาศาล แต่ความจริงมีเพียงเงินส่วนที่รับจากการจัดสรรงบประมาณประจำปี และอีกส่วนที่ได้รับตามประสงค์ของผู้ถวายตามความสมัครใจที่จะให้ อีกประการหนึ่งคือเข้าใจว่า ในหลวงสั่งการหน่วยงานราชการต่างๆ แต่ความจริงไม่ใช่

ท่านเล่าตัวอย่างเหตุการณ์ตอนสมัยหนึ่งที่ในหลวงเสด็จมาร่วมทรงดนตรีร่วมกับ KU-Band ที่ ม.เกษตรฯ บ่อยๆ ช่วงนั้นประชาธิปไตยกำลังดัง  อยู่ๆ ก็มีนักศึกษาคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที แล้วยื่นจดหมายถวายฎีกา ในหลวงทรงรับไว้แล้วส่งต่อให้องค์รักษ์เก็บไว้ และทรงดนตรีต่อไป  ปรากฎว่าหลายวันถัดมา ทราบข่าวว่านักศึกษาคนดังกล่าว ถูกคัดชื่อออกจากผู้ได้รับทุน ในหลวงถามท่านถึง ๓ ครั้งว่าเปลี่ยนได้ไหม โดยครั้งสุดท้ายถามตรงๆ ว่า "ตกลงจะไม่เปลี่ยนจริงเหรอ....ท่านรู้ไหมว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมายถึงอะไร" ... สุดท้ายก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ท่านตีความหมายของคำในหลวงในตอนสุดท้ายของการเล่าว่า นักศึกษาคนนั้นไม่ได้หมิ่น มหาวิทยาลัยต่างหากที่หมิ่น.....

เรียนรู้ "กิจการเพื่อสังคม" จากประสบการณ์ท่านมีชัย วีระไวทยะ

ผมได้ความรู้ใหม่มากมายจากการฟังบรรยายของท่านมีชัย ที่ประทับใจที่สุดคือ บทสรุปของการทำงาน "ธุรกิจเพื่อสังคม" (ฺBussiness for Social Progress) ตลอด ๓๙ ปี ของท่าน ท่านบอกว่ามันน่าจะเป็นอันเดียวกันกับ "กิจการเพื่อสังคม" (Social Enterprise) ที่ทำแล้วมีกำไร แล้วเก็บไว้เป็นทุนสำรอง ขยายธุรกิจ และนำมาทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เหมือนที่เรากำลังพูดกันในวันนี้

  • ท่านบอกว่าธุรกิจเพื่อสังคมนั้น "ทำ มีรายได้เกิดขึ้น เลี้ยงตนเองได้ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ได้เน้นความตะกระเหมือนกันกับธุรกิจทั่วไป..."  
  • การทำธุรกิจเพื่อสังคมนั้น ต้องไม่ทำลายสังคม ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด ครอบครัวแตกแยก ต้องไม่ใช่เอาคนหนีจากบ้านไปสู่โรงงาน แต่ต้องเป็นการนำ "งาน" หรือโรงงานมาสู่คน ส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว
  • เช่นเดียวกัน แทนที่จะเอาคนมาหาการศึกษา แต่ต้องเอาการศึกษามาหาคน แทนที่จะเอาคนหนีจากบ้านไปมหาวิทยาลัย แต่ให้นำมหาวิทยาลัยไปสู่คน ...  เช่น สถาบันอาศรมศิลป์ เป็นต้น
  • ความคิดท่านเปลี่ยนไปใน ๓๙ ปีของการทำงานว่า การทำธุรกิจเพื่อสังคม ต้องไปเริ่มที่คน ไม่ใช่เริ่มที่การตั้งบริษัท ต้องเริ่มที่บุคคล นั่นคือเริ่มที่การศึกษา
  • สิ่งที่ควรทำในการพัฒนาคนด้านการศึกษา คือการพัฒนาให้นักเรียนมีทักษะของผู้ประกอบการตั้งแต่ประถม ท่านนำเสนอตัวอย่างโรงเรียนไม้ใผ่ที่ลำปลายมาศ บุรีรัมย์  (ความจริงอยู่ข้างๆ ลำปลายมาศพัฒนา ที่ผมไปมาแล้วหลายรอบ )
  • ท่านบอกว่า โรงเรียนไทยในปัจจุบันมีแต่สอนท่องจำ เรียนไปเป็นลูกจ้าง ห่างจากบ้านเกิดเก่าภูมิลำเนาตนเอง แต่โรงเรียนที่ท่านทำ ส่งเสริมให้รักและภูมิใจในท้องถิ่น เน้นการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เด็กๆ ทุกคนได้ฝึกฝนการเป็นเจ้าของกิจการ โตไปอาจมีกิจการงานบริษัทเป็นของตนเอง ท่านบอกว่า เราต้องทำ "โรงเรียนไปสู่พรุ่งนี้" ไม่ใช่ "โรงเรียนไปสู่เมื่อวานนี้" ต้องเปลี่ยนจาก "ท่องจำ" ไปเป็น "ค้นคว้าหาความรู้"
  • โรงเรียนต้องเป็น "ศูนย์กลางของการพัฒนา" ต้องเปลี่ยนจาก "โรงเรียนโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ" ไปเป็น "โรงเรียนโทรศัพท์มือถือ" คือ อเนกประสงค์และสร้างสรรค์การเรียนรู้และพัฒนา
  • ประเทศบังคลาเทศ เป็นประเทศที่มี การประกอบการเพื่อสังคมมากที่สุดในโลก
  • บริษัท IKIA ช่วยเด็กๆ เรื่องการศึกษามาแล้วกว่า ๑๐๐ ล้านคน ...  
  • ท่านบอกว่าตลอด ๓๙ ปี ท่านเปิดบริษัทมาแล้วกว่า ๒๘ บริษัท แต่ยังไม่ได้มีผลต่อสังคมมากนักเลยต้องการเครือข่ายในการขยายสิ่งที่ท่านทำออกใปให้เกิดผลในวงกว้าง และตอนนี้ท่านเป็นกรรมการของ สพฐ. จะพยายามผลักดันให้ได้มากที่สุด 

เรียนรู้จากหมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน)

หมอเขียวบอกว่า ท่านทำงานนี้มากว่า ๑๙ ปี ปัจจุบันท่านมีเครือข่ายเพื่อนประเภททำอะไรๆ ให้คนอื่นฟรีๆ ช่วยเหลือแบบไม่หวังผลอะไรตอบแทน ซึ่งเจอกันเป็นประจำ ประมาณ ๓๐๐ คน มีแนวร่วมที่รู้จักกันพบปะกันในบางทีบางครั้ง ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน และเครือข่ายทั่วไปที่นำไปใช้นำไปปฏิบัติอีกร่วม ๑๐๐,๐๐๐ คน ไม่นับคนที่เข้าไปเรียนรู้ทางเว็บไซต์อีก ๑๐,๐๐๐,๐๐๐  ....ผมฟังแล้วพลังมุ่งมั่นในการฝึกตนเพิ่มขึ้นๆ คุ้มค่าที่มาวันนี้จริงๆ ....

  • ท่านเห็นด้วยกับแนวทางของสถาบันอาศรมศิลป์  ท่านบอกว่า เราจำเป็นต้องใส่ "ปัญญา" หรือสาระเข้าไปใน "ใบปริญญา" ของคนโง่ ซึ่งจะทำให้เขาฉลาดได้ในวันข้างหน้า
  • เป้าหมายสูงสุดของการศึกษาคือ ชีวิตที่มีคุณค่าและผาสุข ดังนั้น ขอให้การศึกษาสอนให้คนพ้นทุกได้ไหม 
  • ทำไมมีแต่การศึกษาที่สร้างความฉิบหายให้กับผู้ปกครองในปัจจุบัน แล้วผลิตนักเรียนที่พึ่งตนเองก็ไม่ได้ กลายเป็นนักทำลายสังคม... เป็นไปได้ไหมที่เป็นการศึกษา
  • หมอเขียวถนัดเรื่องสุขภาพ ท่านถึงกับบอกว่า ชีวิตเรามีแกนใหญ่ๆ ๒ อย่างที่ขาดไม่ได้เลย คือ สุขภาพและธรรมะ ได้สองประการนี้ ถ้าเขาเก่งเรื่องอะไรส่งเสริมเขาเลย ขอให้มีสองอย่างนี
  • อีกบทหนึ่ง หมอเขียนสรุปว่า ชีวิตที่ดีต้องมี ๔ ประการคือ เป็นชีวิตพอเพียงเรียบง่าย ร่างกายแข็งแรง จิตใจดีงาม และ จิตใจเป็นสุข
  • หมอเขียวบอกว่า ตอนนี้ท่านสามารถรักษาได้ทุกโรคแล้ว ทั้งติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ รวมทั้งเอดส์ โดยใช้พุทธวิธีที่ท่านนำมาบูรณาการปรับใช้ เช่น โอวาทปาฏิโมกข์ อปาริหารวิธรรม ๗ สารณียธรรม ๖ ปุริสธรรม ๗ ฯลฯ
  • (ผมซื้อซีดีท่านมาแล้วจะมาเขียนสรุปในโอกาสต่อไป ให้อ่านครับ)

เรียนรู้จาก อาจารย์ยักษ์ ดร.นิวัตน์ ไสยกำธร ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง

ฟังแล้วสนุก เปิดกระโหลก ยิ่งฟังยิ่งมีความสุข อยากให้เวลาท่านพูดนานๆ จริงๆ ครับ

  • ท่านทำงานกับในหลวงมานาน ท่านบอกว่า ... "สิ่งที่พระเจ้าอยู่หัวพูดเนี่ย เป็นหลักสูตรที่ดีที่สุด"
  • ท่านบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจริงๆ 
  • ท่านลาออกจากราชการมา ๑๗ ปี ทำงานแบบเนี่ยมาก่อนลาออก ๑๖ ปี (รวมแล้วทำมา ๓๓ ปี)
  • ตั้งแต่เด็กฝันอยากเป็นนานอำเภอ เพราะดูจากหนังคาวบอยว่ามันเป็นได้ง่าย  .... ความฝันอันสูงสุดของชีวิตคือ อยากเป็นลูกจ้าง...
  • "ผมไม่ใช่คนชอบเรียนในห้องเรียน...  ตอนเด็กพายเรือไปเรียน ถูกจับขังห้องฟังครูอยู่ไม่นาน ก็หนีเรียน ...ทำไง..ล่มเรือ->เสื้อเปียก->เรียนไม่ได้ ลอยคอกลับบ้าน เรียนจากคลอง ....หนังสือเปียกน้ำ
  • พี่ชายท่านคือ พลเอก ดร.ทรงศักดิ์ ไสยกำธร งงมากว่าทำไม ได้คะแนนเต็มวิทยาศาสตร์ ศิลปะ วาดเขียน  ... "เต็มซิครับ เพราะมันชอบ ชอบก็เรียน"... 
  • ตอนนี้ CP กับ อมตนคร กำลังขยายอาณาจักรไปยังรัฐฉาน ...เจ้าชายยอดศึกผู้นำรัฐฉานบอกว่า "ประชาธิปไตยของรัฐฉาน มีธรรมะเป็นรากฐาน"
  • เราจะทำธุรกิจอย่างไรไม่ให้เป็น "เศรษฐกิจตาโต" (ที่ในหลวงเรียก) ทำอย่างไรจะเข้าใจ "เศรษฐกิจพอเพียง" จริงๆ 
  • ฯลฯ

นอกจากนี้ก็มีท่านผู้รู้อีกหลายท่าน เชิญท่านสดับรับชมเถิด....

 

ตลอดการเสวนา ศ.ระพี ท่านจะเดินออกมาร่วมเสนอความเห็นเป็นระยะๆ ทุกครั้งที่ท่านพูด ฟังไม่ดีอาจไม่เห็นความเกี่ยวข้องกับเรื่อง ณ ขณะนั้นเท่าใดนัก แต่ความจริง ทุกอย่างรวมกันอยู่ใจ ที่ตัวตน เป็นธรรมะขั้นโสดาบันนั่นเอง.....

เรียนรู้จาก ศ.ระพี สาคริก

  • ท่านค้านฝรั่งเรื่องหนึ่งว่า  ผสมต้นไม้น่ะ สัตว์ผสมบอกว่าเป็นธรรมชาติ แต่ถ้ามนุษย์ผสมบอกว่าไม่เป็นธรรมชาติ ... ท่านเห็นแย้งอย่างมาก
  • สัตว์โลกแบ่งเป็นอาณาจักรพืชและอาณาจักรสัตว์ พืชเคลื่อนไหวไม่ได้เกิดมาเป็นอาหาร ไม่มีจิตวิญญาณ สัตว์เคลื่อไหวได้เกิดมาเพื่อพัฒนาเปลี่ยนแปลง มีจิตวิญญาณ  คนไทยมักเข้าใจว่า พืชเป็นเพียงอาหารกาย คือเอามากิน เอามาเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่ได้เข้าใจว่า เป็นอาหารทางจิตวิญญาณ สร้างสรรค์สุนทรียะ เหมือนชาวตะวันตก....
  • แต่ทุกวันนี้ตะวันตกเริ่มหันมาศึกษาธรรมะกันมาก ศึกษากันทั่วโลก ในขณะที่ทางตะวันออก ประมาทเพราะอุดมสมบูรณ์มาก.... อย่างไรเสียโลกไปนี้ต่อไปข้างหน้าจะถูกเขียนไว้ว่า โลกของเราเคยมีมนุษย์อยู่...
  • ในศาสตร์ทางด้านสถิติบอกว่า "ดีกรีอ๊อฟฟรีดอม" (degree of freedom) เท่ากับ n-1 หมายถึง ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงและวนกลับเป็นวัฏจักร ในที่สุดสิ่งที่เกิดก็จะดับ ...  
  • การเรียนรู้ออกมาจากจิตอาสา ต้องออกมาจากตนเอง ออกมาจากข้างใน ... คำว่าจิตอาสา ไม่ใช่แค่เพียงพัฒนาคนอื่นเท่านั้น 
  • ในมุมหนึ่ง เด็กคือ "อดีต" ไม่ใช่ "อนาคต" หมายถึง เด็กๆ เป็นอดีตของผู้ใหญ่ ถ้าอยากให้เป็นเหมือนผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ก็ทำอย่างที่ถูกสอนมา แต่ว่า ถ้าต้องการให้เขาเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ใหญ่แบบใหม่ ต้องใช้วิธีการใหม่ๆ 
  • ฯลฯ
หมายเลขบันทึก: 565969เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2014 01:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2014 06:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอบพระคุณที่อาจารย์เอามาถ่ายทอดค่ะ เปิดปัญญาได้ดีจริงๆ

ได้ความรู้เพิ่มมากเลยครับ

เคยไปที่ลำปลายมาศพัฒนา

ตอนนี้ทำโครงการดาวล้อมเดือนอยู่ครับ

เป็นโครงการของคุณมีชัยทำกับโรงเรียนครับ

ขอบคุณอาจารย์มากๆครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท