ปัญหาว่าเราจะมีวิธีจัดการความรู้ซึ่งมีมากมายหลากหลายในองค์กรได้อย่างไร หากเราสามารถจัดการความรู้ทั้งองค์กรมาใช้ประโยชน์ได้ ก็เท่ากับสามารถเพิ่มต้นทุนทางปัญญาให้แก่องค์กรได้ไม่สิ้นสุด
การพัฒนาระบบการจัดการความรู้ในองค์กร (knowledge management) เป็นการนำความรู้มาใช้พัฒนาขีดความสามารถขององค์กรให้ได้มากที่สุด โดยมีกระบวนการในการสรรหาความรู้เพื่อถ่ายทอดและแบ่งปันไปยังบุคลากรเป้าหมายได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เพื่อ
1) พัฒนางานให้มีคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ยิ่งขึ้น
2) พัฒนาคน คือพัฒนาผู้ปฏิบัติงาน
3) พัฒนาฐานความรู้ขององค์กร
การจัดการความรู้ที่ดีนั้นควรมีลักษณะ
1. ลงทุนต่ำ ให้ผลตอบแทนสูง
2. สามารถเพิ่มขีดความสามารถให้แก่องค์กรเป็นส่วนรวม
3. สร้างความก้าวหน้าให้บุคลากรและองค์กร
4. สามารถใช้ได้ผลดีทั้งหลักการและง่ายต่อการปฏิบัติ
เนื่องจากสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขต่างทั้งในและนอกองค์กรเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเป็นพลวัตร ดังนั้นเราต้องมีทั้งการเพิ่มองค์ความรู้ การเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ อยู่เสมอ
องค์ประกอบของการจัดการความรู้ เพื่อให้การจัดการความรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการรวมรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ การจัดการความรู้ ต้องครอบคลุมองค์ประกอบต่อไปนี้
1. มีคน การจัดวางคนในองค์กรเพื่อการบริหารจัดการความรู้(personal management)
2. มีกระบวนการจัดการความรู้(process management)
3. มีเนื้อหาความรู้ที่เกี่ยวข้อง(content)
4. มีเครื่องมือและเทคโนโลยี่ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความรู้
5. มีการเผยแพร่และนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจัดการความรู้ตามแนวคิดของ Nonaka &Takeuchi
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้เรียบเรียงแนวคิดในการบริหารจัดการความรู้ของ Nonaka &Takeuchi เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติ 7 ประการคือ
1. การสร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับองค์ความรู้ในองค์กร
2. การสร้างทีมจัดการความรู้
3. การสร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างเข้มข้นในกลุ่มพนักงานระดับล่าง
4. จัดการความรู้ไปพร้อมกับการพัฒนาสินค้า/วิธีการใหม่ หรือพัฒนารูปแบบการทำงาน
5. เน้นการจัดการความรู้แบบใช้พนักงานระดับกลางเป็นตัวขับเคลื่อน (Middle-up down management)
6. เปลี่ยนองค์กรไปเป็นแบบ “พหุบาท” (Hypertext)
7. สร้างเครือข่ายความรู้กับโลกภายนอก
1. การสร้างวิสัยทัศน์เกี่ยวกับองค์ความรู้ในองค์กร ผู้บริหารต้องสร้างวิสัยทัศน์ เพื่อเป็นเข็มทิศในการจัดการความรู้ขององค์กรที่ชัดเจน เพื่อเป็นการสื่อสารให้ทุกคนในองค์กรได้รู้และเกิดเป็นความเชื่อ และเป็นค่านิยมร่วมเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติวิสัยทัศน์ดังกล่าว ต้องเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ร่วม เพื่อทำให้รู้สึกผูกพันที่จะทำงานด้านการบริหารจัดการความรู้ร่วมกัน และนำไปสู่วิสัยทัศน์นั้น
2. สร้างทีมจัดการความรู้ขององค์กร ทีมจัดการความรู้ขององค์กรประกอบด้วยบุคคล 3 กลุ่ม คือ
1. ผู้ปฏิบัติจัดการความรู้ ได้แก่ พนักงานปฏิบัติหรือทีมรับผิดชอบโดยตรงทำหน้าที่หลัก 4 ประการเกี่ยวกับ การเสาะหาความรู้ การสร้างความรู้ การสั่งสมความรู้ และการใช้ความรู้ ซึ่งผู้ปฏิบัติต้องทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญความรู้ บทบาทหลักคือการนำเอาความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวของพนักงาน และองค์กรระดับปฏิบัติมาแลกเปลี่ยนกับความรู้ที่ชัดแจ้ง เพื่อให้เกิดการนำความรู้ไปสู่การบูรณาการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่เปิดเผยความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) ไปเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ให้ค้นหา จัดหมวดหมู่ และเพื่อจัดส่งให้พนักงานได้ง่าย
2. ผู้บริหารระดับกลางหรือวิศวกร เป็นผู้ขับเคลื่อนและมีหน้าที่แปลงความรู้ที่ฝังลึกให้เป็นความรู้ที่เปิดเผย จับต้องได้ โดยเป็นตัวกลางในการนำวิสัยทัศน์ผู้บริหารระดับสูงมาแปลงเป็นความรู้ที่เปิดเผยชัดแจ้ง นำมาแชร์เพื่อทำความเข้าใจกับพนักงานระดับปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่วิสัยทัศน์ระดับบุคคล เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ นอกจากนั้นผู้บริหารระดับกลาง ต้องทำหน้าที่แปลงความรู้ หรือเกลียวความรู้ที่ฝังลึก ไปสู่ความรู้ที่เปิดเผย เป็นการแปลงเกลียวความรู้ทั้งในหน่วยงานและข้ามหน่วยงาน
การหมุนเกลียวความรู้
Nonaka’s SESI model
ถ่ายโอนความรู้กันโดยตรง Tacit เรียนรู้ แสวงหาความรู้ภายนอก
เป็นทางการ/ไม่เป็นทางการ
Socialization Externalization
Tacit Explicit
ผลของการเชื่อมโยงและนำไป Internalization Combination
ปฏิบัติ กลายเป็นประสบการณ์
และปัญญา Explicit ชื่อมโยงความรู้ภ 3.
3. ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรองค์กร ทำหน้าที่ 3 ประการ คือ
1. กำหนดเป้าหมายของการจัดการความรู้ เช่น วิสัยทัศน์เกี่ยวกับการจัดการความรู้
2. สร้างบรรยากาศและกฎกติกาขององค์กรที่เอื้อต่อการเรียนรู้
3. คอยจับความรู้ที่ทรงคุณค่า ที่พัฒนาขึ้นในกระบวนการเกลียวความรู้ (Knowledge Spiral) ขององค์กรในลักษณะ (New paradigm)
3. การสร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างเข้มข้นในกลุ่มพนักงานระดับล่าง การสร้างบรรยากาศเป็นบริบทที่สำคัญขององค์กรที่จะสร้างประสบการณ์ให้ทุกคนเกิดการเรียนรู้โดยตรงด้วยตนเอง เช่น การจัดให้ไปดูงาน การเรียนรู้จาการได้สัมผัสบรรยากาศภายนอก เป็นความรู้ที่เกิดจาการสัมผัสภายนอก เพื่อการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้ความรู้ที่ฝังลึก และกระบวนการ Socilaization
4.. จัดการความรู้ไปพร้อมกับการพัฒนาสินค้า/ วิธีการใหม่ หรือพัฒนารูปแบบการทำงาน การจัดการความรู้ควบคู่กับการพัฒนาวิธีการปฏิบัติงาน และคุณภาพงาน หรือพัฒนา ประสิทธิผล (Effectiveness) ของงาน ในการจัดการสมัยใหม่ หมายถึง การจัดการเพื่อให้เกิดประสิทธิผล 4 ประการ คือ
1. ตอบสนองลูกค้า
2. มีนวัตกรรม
3.มีการพัฒนาและใช้ศักยภาพ Competency อย่างเต็มที่
4. มีประสิทธิภาพ (efficiency) 5. เน้นการจัดการความรู้แบบใช้พนักงานระดับกลางเป็นตัวขับเคลื่อน (Middle-up down management)
การจัดการแบบ Bottom-up ล่างขึ้นบน หรือบนลงล่าง Top-down เป็นการจัดการที่ใช้กันมาก แต่ Nonaka & Takeuchi กลับมองกลับกัน คือใช้หลักการบริหาร Middle - up –down เน้นพนักงานระดับกลางเป็นผู้ขับเคลื่อนกระบวนการบริหารภายในองค์กร โดยเชื่อว่าพนักงานระดับกลางคือผู้เชื่อมโยงการปฏิบัติที่ดี และได้ผลมากกว่าการทิ้งช่องว่าง โดยเฉพาะในเรื่องการจัดการความรู้ ผู้บริหารระดับกลางจะเป็นผู้ขับเคลื่อน เชื่อมโยง และทำให้องค์กรเกิดการเรียนรู้ได้ดี
5. เปลี่ยนองค์กรไปเป็นแบบ “พหุบาท” (Hypertext) องค์กรพหุบาท คือ องค์กรที่มีหลายบริบท (context) อยู่ในเวลาเดียวกัน( Hyper- context ) คือ มีการจัดการความรู้หมุนเวียนอยู่ระหว่างชั้นต่างๆ ทำให้การเกื้อกูลกันและกัน เกิดการจัดการความรู้ที่ทรงพลัง บริบทของพหุบาท ได้แก่
1. บริบทตามปกติเป็นรูปแบบองค์กรพีรามิดเดิม (bureaucracy)
2. บริบทของ Project Team ซึ่งทำงานบรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วสลายตัวกลับสู่สภาพปกติ แต่ช่วงเวลาการทำงานร่วมกันทุ่มเทเต็มที่
3. บริบทฐานความรู้ Knowledge base ทำหน้าที่คอยสกัด รวบรวม และสังเคราะห์ ยกระดับความรู้ ที่เกิดจาก 2 บริบทข้างต้น และอำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ของพนักงานทุกระดับ
6. สร้างเครือข่ายความรู้กับโลกภายนอก การสร้างเครือข่ายกับโลกภายนอก มีประเด็นที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 ประการ คือ
1. การมีระบบการรับรู้และตรวจสอบข่าวสารความก้าวหน้าของความรู้ลักษณะ intelligence
2. การแลกเปลี่ยนความรู้กับภาคี หรือเครือข่าย
3. สกัดความรู้จากลูกค้า หรือเชื่อมโยงความรู้จากผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะความรู้ที่ฝังลึกที่เกิดจาการใช้บริการ หรือผู้บริโภค
ทีละก้าว...ไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
ขั้นตอนที่ 1สํ ารวจสภาพปัจจุบัน วิเคราะห์ ศึกษาว่าองค์กรของเรามีอะไรดี ประเมินศักยภาพขององค์กร /บุคลากร ค่านิยม ปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ รวมทั้งประเมินการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ในปัจจุบัน
ขั้นตอนที่ 2นําข้อมูลที่ได้มากํ าหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ หรือแนวทางที่จะใช้เป็นรูปแบบ และกิจกรรมที่จะทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (mutual learning) เช่น บางหน่วยจัดให้มี Knowledge Center ของตนเอง รวบรวมทรัพยากรแห่งการเรียนรู้ที่เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกต่อการใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน
ขั้นตอนที่ 3ดํ าเนินงานตามแผน มีการแต่งตั้งคณะทํ างานส่งเสริมการดํ าเนินงาน ติดตาม และ ประเมินผลตามระยะเวลา หรืออาจมีการตั้งหน่วยวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ในองค์กร ซึ่งมีตัวแทนจากบุคลากรทุกฝ่าย รวมทั้งผู้บริหาร
ขั้นตอนที่ 4จัดเกณฑ์การพิจารณาประเมินผลในขั้นท้ายสุดหลังจากที่ดํ าเนินการไปแล้วระยะหนึ่ง เพื่อให้ทราบว่าองค์กรของเรามีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด
ปัจจัยแห่งความสํ าเร็จ และสิ่งที่สะท้อนปัญหาอุปสรรค
1.วัฒนธรรมองค์กร จะเห็นว่าองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น องค์กรหนึ่งๆ หรือบ้านหลังหนึ่ง หากการพูดคุย ติดต่อสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ของคนในบ้านยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ อยู่กันแบบห่างเหิน ไม่อยากเสวนาพูดจา พูดคุยกันเพียงไม่กี่คํา ความไว้วางใจกันอยู่ในระดับตํ่ า มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดี บรรยากาศเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกถึงสุขภาพขององค์กร แต่หากคนในองค์กร ยอมรับที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือมุมมองบางด้านที่เป็นอุปสรรคออกไป พูดคุยกันมากขึ้น ก็จะทํ าให้มีความเข้าใจกันในระดับลึก การพูดคุยกันจะมีความหมาย ไม่ใช่โครงสร้างองค์กรแบบต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทํ า
2.บุคลากร การเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลจะต้องไม่เกิดบนพื้นฐานของการบังคับ ปัญหาอันเกิดจากตัวบุคลากร เช่น ผู้รู้ไม่อยากถ่ายทอดเพราะเกรงว่า เมื่อถ่ายทอดไปแล้วจะไม่เหลืออะไร ตนจะหมดความสํ าคัญหรือฝ่ายผู้เรียนรู้ไม่ยอมรับในตัวผู้ถ่ายทอด หรือคนในองค์กรขาดความกระตือรือร้น เนื่องจากโดยทั่วๆ ไปแล้วพบว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะเฉื่อยชา หรือมีความกระตือรือร้นลดน้อยลงตามอายุที่สูงขึ้น บุคลากรบางคนไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง อาจจะเป็นปัญหาสะสมที่พบได้บ่อยในหน่วยงานราชการ และต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนพอสมควร
3.ระบบความดีความชอบ อาจไม่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ เพราะหากคนในองค์กรมองว่าความรู้เป็นอาวุธส่วนตัวสํ าหรับใช้ในการต่อสู้แข่งขันกับเพื่อนร่วมงาน บางแห่งพนักงานใช้ความรู้ที่มีเป็นเครื่องต่อรองกับผู้บริหาร ด้วยเหตุนี้เพื่อสร้างเสริมแรงบันดาลใจ หรือแรงจูงใจ อาจจัดให้มีรางวัลที่เป็นนามธรรมแก่หน่วยงานที่มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เช่น การประกาศยกย่องชมเชย เป็นต้น
4.ด้านการเรียนรู้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการยอมรับความผิดพลาด เนื่องจากสังคมวัฒนธรรมเรามองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องไม่ดี ต้องหลีกเลี่ยง หรือถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ต้องปกปิดมิดชิดไม่มีการให้ความรู้ เราจึงได้เรียนรู้จากมุมมองด้านเดียว คือมุมมองด้านความสํ าเร็จ โดยไม่ได้เรียนรู้ว่าก่อนจะมีความสำเร็จต้องผ่านสิ่งใดมาบ้างไม่เคยเรียนรู้ว่าอะไรผิดควรหลีกเลี่ยง หรือมาวิเคราะห์กันว่าเราจะตอบสนองต่อปัญหาอย่างไร
กิติกรรมประกาศ
ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชคุณหมอค่ะ หนูอยากรู้จัก กับคำว่า "การจัดการสมัยใหม่" ค่ะ
คุณหมอพอจะทราบไปค่ะ ตอนนี้อาจารย์กำลังให้ทำรายงานค่ะ
หายังไม่ได้ค่ะ
ฝากด้วยนะค่ะ..
จักขอบคุณมากค่ะ
อยากทราบว่าแหล่งผู้รู้ในองค์กรคืออะไรครับ ขอบคุณครับ