สวัสดีครับ ศ.ดร.จีระ คุณรัตติยา คุณยมนา น้องLotus และท่านผู้อ่านทุกท่าน
เนื่องจากระบบในBlog นี้ ไม่เอื้อให้จัดย่อหน้าได้สะดวกนัก ผมได้พยายามจัดย่อหน้าใหม่ และปรับปรุงบางส่วนตามเนื้อหาตอนท้ายนี้ครับ
วันนี้ ผมหาความรู้ ทาง Internet เช่นเคย และอ่านบทความ “บทเรียนจากความจริง กับ ศ.ดร.จีระ” ซึ่งสัปดาห์นี้อาจารย์ใช้ชื่อเรื่อง คนกรุงเทพฯ : นึกถึงคนภาคกลาง ผมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยใช้ข้อความข้างล่างนี้ แถบสีน้ำเงินคือข้อความที่ผมคัดลอกมาบางส่วนจากบทความของ ศ.ดร.จีระ ส่วนสีดำเป็นความเห็นของผม ซึ่งมีดังนี้ ครับ
คนกรุงเทพฯ : นึกถึงคนภาคกลาง
ใน 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดภัยธรรมชาติใหญ่ในประเทศไทยที่ผมยังไม่ได้พูดถึงคือ ปรากฏการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคกลางหลายจังหวัด หากไม่มีการผันน้ำไปสู่ทุ่งนาตามจังหวัดต่างๆ เช่น พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท ถนนในกรุงเทพฯ ก็คงจมน้ำไปตามกัน ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน คงเปิดตำราแทบไม่ทัน
เรื่องปัญหาทรัพยากรธรรมชาติน้ำ มีตั้งแต่น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำเสีย ในบ้านเราเป็นปัญหาที่มีมาในประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน นี่ถ้าเกิดในญี่ปุ่น เราคงได้เห็นเขาจัดการอย่างเป็นระบบเช่นปัญหาแผ่นดินไหว ซึ่งญี่ปุ่นสามารถจัดการได้เป็นอย่างดี
ญี่ปุ่นมีการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง คนอ่อนแอ คนโกง คือคนที่ทำลายประเทศ ญี่ปุ่นมีการวางแผนพัฒนาประเทศโดยเน้นปัจจัยความเข้มแข็งในการทำงานเพื่อชีวิต เพื่อชาติ เน้นความสำคัญในการฝึกและพัฒนาขีดความสามารถของมนุษย์ทุกรูปแบบ
ญี่ปุ่นแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังโดยเน้นสอนให้คนญี่ปุ่น มีความซื่อสัตย์ ขยัน กล้าหาญ รักความสะอาด ความมีวินัย รักธรรมชาติ ควบคุมอารมณ์ได้ ที่สำคัญคือการรักการอ่านและศิลปะวัฒนะธรรม ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีในการกู้วิกฤตชาติและทรัพยากร รวมทั้งการสร้างสมทุนต่าง ๆ ของประเทศ รวมทั้งทุนมนุษย์
ปัญหาเรื่องน้ำที่มีอยู่ในบ้านเรา น่าจะเป็นคำตอบได้ว่า คนไทยมีลักษณะแตกต่างจากคนญี่ปุ่นอย่างไร และเราควรนำเอาจุดแข็งของเขามาบูรณาการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการบริหรประเทศและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของไทยหรือไม่ อย่างไร
บ้านเราอยู่ในทำเลดี ในประวัติศาสตร์ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ไม่มีภัยธรรมชาติ ทำให้เราขาดความกระตือรือร้นจนถึงปัจจุบัน ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ว น้ำเสีย ยังเคียงคู่อยู่กับวิถีชีวิตไทย
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากโลกาภิวัตน์ ทำให้สภาพแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไป เรากำลังเผชิญกับปัญหาโลกร้อน อุณหภูมิของโลกเปลี่ยนไป มีผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตบนโลกมากขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย น้ำทะเลจะสูงขึ้น แผ่นดินไหวมีมากขึ้น แผ่นดินเลื่อนมีมากขึ้นทั่วโลก
ปัญหาน้ำท่วมในบ้านเราครั้งนี้ ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งมีผลมาจากปัญหาสภาวะโลกร้อนขึ้น น้ำทะเลสูง ฝนตกไม่ต้องตามฤดูกาล น่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัยให้เราทราบว่าในอนาคต เราอาจจะพบปัญหาใหญ่หลวงกว่านี้
ในเรื่องปัญหาน้ำท่วม หากผู้เกี่ยวข้องไม่มีมาตรการป้องกันเชิงรุก ปล่อยให้ปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีการจัดการเรื่องน้ำอย่างเป็นระบบ อย่างจริงจัง ความเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับคนไทย ถึงเวลานั้นต่อให้ผันน้ำไปสู่ทุ่งนาตามจังหวัดต่างๆ เช่น พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาทฯ ก็ตาม กรุงเทพฯอาจหนีไม่พ้นปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง และคนไทยทุกระดับควรกระตือรือร้นปรับตัว เตรียมพร้อมเผชิญปัญหา พวกองค์กรอิสระ ที่มีพลัง มีการประท้วง ชุมนุมกันที่ผ่านมา ก็น่าจะใช้พลังที่มีอยู่มาขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ ครับ ส่งเสริมให้รัฐมีการนโยบายสาธารณะที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ
ผมและคณะ จึงมีโอกาสไปเยี่ยม แสดงความห่วงใยชาวต่างจังหวัด และแจกสิ่งของช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ที่ อบต.สามตุ่ม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีคุณขวัญชัย มหาชื่นใจนายกองค์การบริหารส่วนตำบล กำนันตำบลสามตุ่ม คุณพยอม มหาชื่นใจ ได้ให้การต้อนรับอย่างดี
สิ่งที่อาจารย์ทำเป็นงานอาสาสมัคร เหมือนกับที่ ศ.ดร.ป๋วย อื้งภากรณ์ ได้เคยสร้างแนวทางและได้ทำ เป็นตัวอย่างจนเกิดโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร ขึ้นมาที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถึงแม้อาจารย์จะมีเครือข่าย ทุนทางสังคมอยู่ในต่างจังหวัดสูง ถ้าอาจารย์จะไปเยี่ยมชาวบ้านที่ต่างจังหวัด ในภาคอีสาน ผมขอแนะนำอีกช่องทางหนึ่ง คือ อาจารย์อาจจะประสานไปที่สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร เพื่อให้ทางสำนักฯแจ้ง บัณฑิตอาสาสมัคร ให้คอยอำนวยความสะดวกให้อาจารย์ ได้อีกทางหนึ่ง
สำนักบัณฑิตอาสาสมัครมีนักศึกษาในอดีตและปัจจุบันกระจายอยู่เกือบทุกจังหวัดในภาคอีสาน ซึ่งพวกนี้จะรู้จักชาวบ้าน ผู้นำหมู่บ้านเป็นอย่างดี
สิ่งที่ ศ.ดร.จีระ ออกไปช่วยเหลือ เยี่ยมชาวต่างจังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม เป็นสิ่งที่ดี น่าสรรเสริญยกย่อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูกศิษย์ ทั้ง ป.โท และ ป.เอก ผมและเพื่อน ที่เรียน ป.เอก ขอส่งกำลังใจมาให้ ศ.ดร.จีระ ความดีที่อาจารย์ทำให้กับสังคม ขอให้ย้อนกลับมาหาอาจารย์และทีมงาน ครับ
หากเป็นไปได้ ผมปรารถนาที่จะเห็นหน่วยงานรัฐ องค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนกิจกรรมของอาจารย์
แต่ผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ปรากฏการณ์โลกร้อน (Global warming) ที่ทำให้อากาศเปลี่ยน จากการที่ผมคุยกับอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ท่านบอกว่า ปัจจุบัน ฝนตกไม่สม่ำเสมอ บางแห่งมาก บางแห่งน้อย อย่างในปีนี้ ฝนตกที่ภาคเหนือตอนล่างมากกว่า เฉลี่ย 27% ทำให้น้ำไหลทะลักมาสู่ภาคกลางมากมาย และที่สำคัญ ฝนที่ตกในภาคกลางเองก็มากกว่าปกติถึง 10% จึงเกิดปัญหา โลกาภิวัตน์ในประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องการค้าเสรีหรือการเงินเสรีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องภัยธรรมชาติจากโลกที่กระทบเราด้วย จากปรากฏการณ์อากาศไม่ปกติหรือโลกร้อนนั่นเอง
ประเด็นนี้ สามารถทำให้ประชาชน ครู เด็กนักเรียน เข้าใจคำว่า "โลกาภิวัตน์" ได้มากขึ้น เวลาเราพูดถึงโลกาภิวัตน์ ก็จะคิดแค่ การค้าระหว่างประเทศ การสื่อสาร การลงทุน FTAฯ แต่เราพูดถึงปัญหาภัยธรรมชาติในระดับโลกภิวัตน์น้อยมาก
ประเด็นนี้เป็นประโยชน์ที่ ครู อาจารย์สามารถนำไปยกตัวอย่างเรื่อง โลกาภิวัตน์ให้นักเรียนประถม มัธยม หรือแม้แต่ในมหาวิทยาลัยได้เรียนรู้ เป็นอย่างดี
ผมติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด หากเราคิดว่าปีนี้น้ำท่วมแค่ปีเดียว ปีหน้าก็คงปกติ ซึ่งอาจจะไม่จริงก็ได้ เพราะอากาศของโลกไม่ปกติ และเรามีเวลาที่จะร่วมกันแก้ไขอีกไม่เกิน 15 ปี
คนไทยส่วนใหญ่คิดอย่างนี้มานานครับ ปัญหาเรื่องน้ำมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา บ้านทรงไทยจึงมีใต้ถุนสูง ยกสูง มีเรือประจำบ้าน แต่ปัจจุบัน บ้านคนไทยเลียนแบบฝรั่ง ไม่มีใต้ทุนสูง ไม่ยกสูง เป็นบ้านชั้นเดียวติดดินก็มีมาก ไม่มีเรือประจำบ้าน แต่มีรถยนต์แทน เมื่อน้ำมาจึงพบปัญหาเดือดร้อนกัน
และคนไทยบางส่วนเคยชินกับการคิดสั้น ๆ ไม่คิดไกล ไม่คิดถึงปัญหาภัยธรรมชาติที่มีผลกระทบมาจากโลกาภิวัตน์ เพราะโลกาภิวัตน์เพิ่งมาเยือน เพิ่งมีผลกระทบให้เห็นไม่นานมานี้ ถ้าคนไทยตื่นตัวและหาทางป้องกัน ก็จะรอดพ้นกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ผมเชื่อว่าปัญหาน้ำท่วมจะมีมากขึ้นกว่าที่ผ่าน ๆ มาอย่างแน่นอนครับ ก็ขอให้เตรียมการณ์รองรับปัญหานี้กันให้ดี เพราะว่า ปัญหาน้ำท่วมไม่ใช้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นถ้าย้อนดูข่าวเกี่ยวกับภัยธรรมชาติในสองปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีผลกระทบไปทั่วโลก
การเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของโลก ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม สึนามิ ทอร์นาโดฯลฯ นั้น รัฐบาลและประชาชนทั้งโลกจะต้องศึกษาและรู้เท่าทัน และต้องร่วมกับกลุ่มประเทศในโลก กลุ่ม APEC ฯลฯ ในการแก้ไขและป้องกันปัญหา
นานาประเทศต้องพร้อมทั้งให้ความร่วมมือบางเรื่องและคัดค้านบางเรื่องกับกลุ่มพลังโลก ที่มีผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายโลก เช่น
-
กลุ่มมหาอำนาจปกป้องผลประโยชน์ของตน
- กลุ่มตลาดโลก
- กลุ่มก่อการร้ายสากล
- ภาวะผู้นำโลก
- กลุ่มประเทศที่ผลิตและมีอาวุธนิวเคลียร์
-
กลุ่มคอรัปชั่นระดับโลกฯลฯ
กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ มีผลต่อหายนะ และความสงบสุขของโลก ซึ่งรัฐบาลไทยเราควรรู้เท่าทัน เพื่อนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดได้ อย่างยั่งยืน ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การดำเนินการบริหารประเทศตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงมิใช่เป็นการบริหารแค่พอมีพอกินในประเทศเท่านั้น แต่ต้องบริหารให้ประเทศอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน สมดุลย์ภายใต้กระแสและผลกระทบของโลกาภิวัตน์ และการกำหนดนโยบายโลก ขององค์การสหประชาชาติ และกลุ่มประเทศต่างๆ
จากการอ่านข่าว พบว่ากลุ่มนักวิชาการของอังกฤษได้มีการศึกษา และส่งรายงานไปให้ Tony Blair นายกรัฐมนตรีอังกฤษทราบว่า อย่างช้าที่สุด ภายใน 15 ปี GDP ของโลกจะลดลง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ( 7 Trillion US $ ) เพราะการผลิตสินค้าและบริการจะถูกกระทบจากภาวะโลกร้อน ลองคิดดู ประเทศไทยจะจนลง 20% ถ้าเราไม่ทำอะไรภายใน 15 ปี
ลูกศิษย์ผมคือ คุณยม นาคสุข ได้เชิญผมไปฟังสัมมนาของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งได้เตือนประเทศไทยให้หันมาเอาใจใส่ ทำวิจัย ปรับตัว เรื่อง Global warming เพราะมีเวลาเหลืออีกไม่มาก
ขอบคุณ ศ.ดร.จีระ ที่กล่าวถึงผมในบทความนี้ และให้ความกรุณากับผมในการสนับสนุนเรื่องการเรียนรู้ตลอดมา ผมเป็นคนไทยที่รักชาติบ้านเมือง และห่วงใยประชาชนที่ยากไร้ ด้อยโอกาส ในชนบทที่ยากจน เช่นเดียวกับอาจารย์ และพี่น้องชาวไทยอีกหลายท่าน
การนำเรื่องนี้ มาเรียนให้อาจารย์ทราบ เพราะอาจารย์มีอุดมการณ์มีจิตอาสาพัฒนาชาติและมีทุนทางสังคมสูง จึงคิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ และผมเชื่อว่าอาจารย์คงไม่อยู่เฉยถ้าทราบข่าวความหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นกับชาวโลก และคนไทย ครับ
ผมขอขอบคุณ ศ.ดร.จีระ อีกครั้งหนึ่ง ที่อาจารย์ให้ความสนใจในเรื่อง Global warming ตามที่ผมเรียนให้ทราบและะคิดต่อที่จะทำเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม
นอกจากนี้ แนวคิด ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา เกี่ยวกับการพัฒนาเยาวชนของชาติก็น่าสนใจมาก ดร.อาจอง ท่านทำโรงเรียนในฝัน มีการฝึกและพัฒนาจิตและนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปสอนและใช้กับเด็กนักเรียนด้วย ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของไทย ด้วยเช่นกัน หากมีโอกาสน่าจะถ่ายทำสารคดีมาประกอบรายการเศรษบกิจพอเพียง กับ โลกาภิวัตน์ ครับ
ผมจึงถือโอกาสเรียนให้ทราบว่า วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน ผมจะมีรายการสู่ศตวรรษใหม่ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เวลา 14.00-15.00 น. ซึ่งผมได้เชิญอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา คุณศุภฤกษ์ ตันศรีรัตนวงศ์ อธิบดีท่านนี้เป็นผู้มีความรู้ดีมาก และได้ทำงานหลายอย่างเพื่อประชาชน จะมาพูดในรายการ ผมจึงเป็นแนวร่วมกับท่านทำหลายเรื่อง
รายการนี้ น่าสนใจเหมือนกับรายการวิทยุคลื่นความคิด FM. 96.5 เป็นรายการประเทืองปัญญา ถ้าติดตามชมหรือฟังรายการแล้ว คิดตามคิดต่อยอดจะเกิดความรู้ เกิดทุนทางปัญญา จึงขอเชิญชวนท่านผู้อ่านติดตามรายการของ ศ.ดร.จีระ รายละเอียดกำหนดรายการต่าง ๆ ของ ศ.ดร.จีระ ผมได้ประชาสัมพันธ์ไว้ตอนท้ายของ Blog นี้
ผมพูดเสมอว่า มนุษย์สร้างความเจริญ แบบไม่มองความสมดุลของธรรมชาติ ทุนแห่งความยั่งยืนของผม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผมต้องการให้โลกน่าอยู่ ให้คนรุ่นหลังได้เห็น ไม่ใช่มีความสะดวกสบายในปัจจุบัน แต่อนาคตไม่ยั่งยืน การมองความสัมพันธ์ของทรัพยากรธรรมชาติกับทรัพยากรมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นให้ประชาชนมีความรู้ เดินสายกลาง พอประมาณ ผมจะต้องร่วมมือกับหน่วยงานหลายแห่ง เช่น กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมบรรเทาสาธารณภัย สภาวิจัยแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อเตรียมรับมือเรื่องโลกร้อนให้ได้ และจะเริ่มรณรงค์ให้คนไทยตระหนักถึงปัญหานี้
เรื่อง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ในการเรียนการสอน ระดับมหาวิทยาลัย ควรให้มีวิชาทีว่าด้วย “ความสัมพันธ์ของทรัพยากรธรรมชาติกับทรัพยากรมนุษย์” ด้วยครับ ให้ถือว่าเป็น นวัตกรรมด้านการเรียนการสอนวิชานี้
เพราะที่ผ่านมาเรามัวแต่ไปพูดเรื่องการสรรหา คัดเลือก อบรมฯ สิ่งเหล่านี้ไม่ยั่งยืน เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เทคนิคเหล่านี้ย่อมต้องเปลี่ยนไป การเรียนการสอน ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ควรต้องร่างหลักสูตรกันใหม่ ไม่ควรมัวแต่ลอกตำราฝรั่ง ครับ
ผมดีใจที่ทางนิด้า จัดให้มีการเรียนการสอน วิชา เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนา และการเป็นวิทยากรเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง และเปิดโอกาสให้คนภายนอกได้เข้าไปร่วมเรียนอย่างเป็นระบบ และยังเปิดโอกาสให้นักศึกษาปริญญาเอก เข้าไปร่วมฟังได้ด้วย เป็นวิชาที่ไม่ได้ลอกตำราฝรั่งแต่เอาแนวคิดของพ่อหลวงของเรามาจัดให้มีการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และถ้ามีการจัดการที่ดี ต่อไปเราอาจจะเป็นศูนย์การเรียนรู้ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของโลก ให้ฝรั่งมาเรียนรู้เราบ้าง
ส่วนเรื่องการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ ที่ ศ.ดร.จีระ เขียนมา ผมยังไม่มีอะไรที่จะ comment หรือต่อยอดมากนัก เพราะยังไม่มีโอกาสได้ไปดูงานของจริง
อย่างไรก็ตามผมเห็นด้วยที่รัฐ ควรทบทวนให้เกิดประโยชน์กับประชาชนระดับรากแก้ว ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วย เช่น การเผยแพร่ภาพของงานทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เป็นระยะ ๆ การนำพันธุ์พืชสวนโลกที่มีประโยชน์ต่อการเกษตร รวมทั้งแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ กระจายไปสู่เกษตรกรที่ยากไร้ ตามชนทบ อย่างเป็นระบบ หรือการที่ผู้ว่าฯแต่ละจังหวัด จะใช้งบประมาณบางส่วน จัดตัวแทนชุมชนในชนบท มาทัศนศึกษาอย่างมีเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน ครับ
ศ.ดร.จีระ ยังมีรายการโทรทัศน์ช่อง 11 ชื่อรายการ ”สู่ศตวรรษใหม่” ทาง ช่อง 11 ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน เวลา 14.00-15.00 น. และ รายการ “เศรษฐกิจพอเพียง กับ โลกาภิวัตน์ ทุกวันเวลา 22.40 น. – 22.45 น.นอกจากนี้ ยังออกอากาศอีกทีทาง UBC 7 ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนเวลา 14.00-15.00 น. และรายการคิดเป็นก้าวเป็นกับดร.จีระ ทาง UBC 7 อาทิตย์ที่ 1,3 และ 5 ของเดือนเวลา 13.00-13.50 น. นอกจากนั้นยังมีรายการวิทยุ knowledge for people วันพุธ เวลา 19.30 - 20.30 น. ทางสถานีวิทยุ อสมท. F.M. 96.5 MHz Hz คอลัมน์ “บทเรียนจากความจริงกับดร.จีระ” ของหนังสือพิมพ์แนวหน้าทุกวันเสาร์หน้า 5 หรือทาง http://www.chiraacademy.com/ เชิญท่านติดตามศึกษาหาความรู้ จากผลงานของ ศ.ดร.จีระ และร่วมกันแสดงความคิดเห็น สะสมสร้างทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญา และทุนทางสังคม ใน Blog นี้ ครับ
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ยม
นักศึกษาปริญญาเอก
รัฐประศาสนศาสตร์ดุษฎบัณฑิต
[email protected]
081-9370144
เวลาผ่านไปแล้ว 5 สัปดาห์ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและคาดไม่ถึง หลายอย่างดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีปัจจัยหรือมีข้อมูลใหม่ๆเพิ่มเติมเสมอ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ต้องใช้นโยบาย
Listen and Learn อย่างมาก และต้องมีความอดกลั้น ที่จะต้องรับฟัง หากมีประโยชน์จึงนำไปปฏิบัติ
ผมคิดว่า ความคิดและข้อเสนอแนะของอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัยที่ติงการทำงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ น่าสนใจ คือจะต้องอธิบายจุดอันตรายของ "ระบบทักษิณ" ให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะใน 5 ปีที่ผ่านมา ประชาชนที่ยากจนอาจจะคิดไม่ครบถ้วน และไม่เข้าใจ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นจะต้องทำ ควรอธิบายด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริง อาจจะต้องดึงเอาภาคประชาสังคมที่เป็นกลาง มาช่วยอธิบายเพื่อเสริมรัฐบาลและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้ทั่วถึง
ผมหวังว่า งานดังกล่าวจะก้าวไปด้วยดี และสร้างความเข้าใจได้ถูกต้อง
ระยะนี้ ยังมีข่าวความไม่สงบหรือคลื่นใต้น้ำอยู่ ซึ่งคงจะไม่ใช่ของแปลกอะไร เพราะมีผู้เสียผลประโยชน์มาก คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติจะต้องบริหารและจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างรอบคอบ เหมาะสมและสมานฉันท์
ดูเหมือนว่า นายกฯสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทำหน้าที่เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ได้เชิญหัวหน้าพรรคการเมืองมามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นจุดที่สำคัญ การยกย่องให้เกียรติทุกกลุ่มในสังคมเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสม
ส่วนกลุ่มพันธมิตรก็เช่นกัน คงจะต้องอดทนและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเหมือนเดิม ขออย่าท้อใจ ถึงกับจะลาออกจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งไม่เป็นผลดี คงจะต้องช่วยกันตรวจสอบต่อไป
สำหรับผม ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะทำหน้าที่ต่อไปในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของการให้ความรู้ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในระยะนี้ ท่านผู้อ่านอาจจะใช้สื่อทางวิทยุมากขึ้น เพราะสื่อทางโทรทัศน์ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
ในขณะที่สื่อวิทยุ เช่น FM 96.5 MHz. ทั้ง 24 ชั่วโมง มีความคิดดี ๆ ออกมาจากผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน ทันเหตุการณ์ ผมยังต้องติดตามใกล้ชิด
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีงาน 3 เรื่องที่จะเล่าให้ฟัง
เรื่องแรก ซึ่งทำเป็นประจำทุกปี คือ ค่ายผู้นำเยาวชน Knowledge camping ให้แก่นักเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนในเครือทั้ง 7 โรงเรียน จำนวน 120 คน ครั้งนี้เป็นปีที่ 8 แล้ว ในปีนี้เน้นในพระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่น ภาวะผู้นำ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น มีวิทยากรรับเชิญซึ่งเป็นนักเรียนเก่าที่มีชื่อเสียงหลายท่านมาร่วมแบ่งปันความรู้ เช่น
- หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เป็นองค์ประธานในพิธีและปาฐกถาพิเศษเรื่อง "โครงการหลวง"
- ฯพณฯ พล.อ.ต.กำธน สินธวานนท์ บรรยายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพด้านพลังงาน"
- ดร.ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ บรรยายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพด้านศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรีและกีฬา"
- ศ.ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน บรรยายเรื่อง "พระอัจฉริยภาพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ"
ค่าย Knowledge camping นี้เป็นค่ายที่สร้างและพัฒนาภาวะผู้นำให้กับนักเรียน ให้เด็กมีความคิดกว้างไกล คิดเป็น กล้าแสดงออก เด็กจะได้รับการพัฒนาความคิดจากโจทย์ "ประเทศไทยในอีก 20 ปีข้างหน้า" ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้นำของชาติในอนาคต
อีกงานหนึ่งเป็นงาน India-Thai Business Forum ซึ่งเป็นชมรมนักธุรกิจชั้นนำของอินเดียในประเทศไทย ผมภูมิใจที่เขาสนใจงาน HRD ของ APEC ของผม แต่แทนที่จะมองเฉพาะ APEC เขามองถึงความร่วมมือระหว่างอินเดียกับ APEC ในอนาคต
ผมคิดว่าเรื่อง HRD กับอินเดียน่าจะมี 3 เรื่อง
1. การแลกเปลี่ยนครูทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ IT โดยให้อินเดียส่งครูมาช่วย
2. การส่งครูไทยไปสอนเรื่อง การบริการ Service sector และการท่องเที่ยว
3. จัดให้เกิดธุรกิจร่วมกัน เช่น E-learning
ผมคิดว่ารัฐบาลของนายกฯสุรยุทธ์ ยังคงสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้ง ACD HRD Center ขึ้น เพื่อให้เอเชีย ซึ่งมีอินเดีย จีน ญึ่ปุ่น ไทย และประเทศในตะวันออกกลางรวย ๆ เช่น โอมาน คูเวต มาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของคนเอเชียด้วยกัน แทนที่จะไปเรียนจากตะวันตก ซึ่งผมได้รับมอบหมายจากรัฐบาลชุดที่แล้วให้ดำเนินการ และได้รับการเห็นชอบในหลักการแล้ว
เอเชียต้องมีฐานความรู้ของตัวเอง ร่วมมือกับตะวันตกได้ โดยไม่ลอกความคิดของตะวันตกอย่างเดียว
นอกจากนี้ ผมได้รับเชิญจากมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย ไปบรรยายเรื่อง คิดแบบ CEO ในยุคสมัยใหม่ ผมชอบหัวข้อที่เขาตั้ง เพราะ CEO ต้องคิดเป็นถึงจะสำเร็จ จึงแนะนำวิธีการคิดไป 3 วิธีคือ
- ทฤษฎี 4 L's ของผม
- 5 Disciplines ของ Peter Senge
- และ 6 Thinking hats ของ Edward de Bono
เน้นว่าแต่ละแบบสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้โดยมองจากสถานการณ์ความจริงของแต่ละองค์กร มีจุดที่น่าสนใจคือ ยุคใหม่ CEO ต้องไม่เก่งคิดคนเดียว ต้องให้ผู้ร่วมงานคิดเป็นด้วย
คำถามคือ จะทำอย่างไร ในประเทศไทย เราเสียเปรียบตั้งแต่ระบบการศึกษา เพราะเราไม่มีการกระตุ้นให้นักเรียนสนใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ เราให้นักเรียนลอกความคิดของอาจารย์
ผมโชคดีได้เปลี่ยนแนวการสอนมากว่า 10 ปีแล้ว ไม่ว่าจะสอนที่ไหน จะให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และสรุปร่วมกัน ทุกวันนี้มีคนสนใจเรื่องนี้มากขึ้น ล่าสุดองค์กรบริหารส่วนตำบล ซึ่งจะนำเศรษฐกิจพอเพียงไปให้เขาคิด เช่นเดียวกับข้าราชการระดับ C7 , C8 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของรองปลัดสุทธิพร จีระพันธุ ซึ่งเป็นผู้สนใจวิธีการเรียนแบบใหม่
[email protected]
โทร. 02-273-0180, 0-2619-0512-3
โทรสาร 0-2273-0181