ทำไมต้องจัดการความรู้ ?
จากการเป็น“ทีมพี่เลี้ยง”ประจำพื้นที่วัดดาว อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีตลอดระยะเวลาการทำงานเกือบ ๑๐ เดือนที่ผ่านมา การทำงานร่วมกับผู้นำท้องถิ่นวัดดาวได้กลายเป็นการทำงานร่วมกันเสมือนเพื่อนในการทำงานร่วมกับผู้ประสานงานพื้นที่ไปเสียแล้ว เพราะทุกครั้งที่มีกิจกรรมในตำบลเกิดขึ้น การทำงานในพื้นที่ของกลุ่มแกนนำ ผู้นำท้องถิ่นต่างเรียกร้องหาเพื่อนร่วมทำงานอย่างพวกเรามากขึ้น (พวกเราในที่นี้ คือ ทีมสรส.ที่ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง คือ ผู้เขียน, คุณอัฒยา, คุณสหัทยา และคุณพี่จิ๊บ) เพื่อร่วมคิดงาน ร่วมสร้าง และร่วมทำร่วมกัน โดยโจทย์การทำงาน ทำการบ้านร่วมกับผู้นำท้องถิ่นในแต่ละครั้งจะอาศัยช่วงของงานเทศกาลชุมชนเป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกับชาววัดดาวโดยการแทรกหลักการจัดการความรู้ให้แก่ชาววัดดาวได้รู้จักใช้ รู้จักปรับวิธีคิด เพื่อให้เป็นนิสัยในการทำงานเพื่อชุมชนท้องถิ่นร่วมกันระหว่างชาววัดดาว กับ สรส.
สิ่งที่สำคัญในการทำงานที่ว่า“ทำไม..ต้องจัดการความรู้” ในการทำงานร่วมกับชาววัดดาว เหตุและผลสืบเนื่องมาจากการทำงานที่ผ่านมาจากการจัดเวทีร่วมกันหลายต่อหลายเวที อาทิเช่น เวทีฝึกผู้นำ(โรงเรียนผู้นำ), เวทีฝึกอบรมครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและผู้ปกครอง(โรงเรียนพ่อแม่), เวทีฝึกอบรมกลุ่มสตรีวัดดาว(โรงเรียนอาชีพ) ก่อนการจัดเวทีทุกครั้งผู้เขียนต้องร่วมออกแบบกระบวนการและปรับจูนความคาดหวังในการทำงานร่วมกับนายประทิว รัศมี(นายกอบต.วัดดาว) ทุกครั้งก่อนการจัดเวที
ทำไมต้องออกแบบร่วมกันก่อนการจัดเวที? คำตอบก็คือ“เป้าหมาย..วัตถุประสงค์”ในการจัดเวทีแต่ละครั้งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการร่วมสร้าง“ธง”ของการจัดเวทีจะเป็นสิ่งช่วยให้เราสามารถทำงานได้ชัดมากขึ้น ทำเรื่อง KM จะบอกว่าไม่รู้ก่อนทำ..ไม่ได้!
ทุกครั้งในการทำงาน นอกจากต้องลงพื้นที่ไปผลักดันการทำงานในพื้นที่วัดดาวแล้วนั้น สิ่งสำคัญในการทำงานก่อนการลงพื้นที่ทุกครั้งของตนเอง คือ“การรู้เขา..รู้เรา..รู้สถานการณ์” โดยการถามหาข้อมูลจากนายกประทิวก่อนทุกครั้ง เพราะ“ภาพ”ในการทำงานของเรา คือ การนำความรู้มาเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้การทำงานในชุมชนบังเกิดผลที่ดีขึ้น หากลงพื้นที่มาแบบ“ไม่รู้เรา..ไม่รู้เขา..และไม่รู้สถานการณ์” การทำงานของตนเองคงต้องพบกับทางตันแน่ๆ เพราะสิ่งที่สำคัญในการทำงานชุมชน คือ “การถามหาความรู้ก่อนทำ” ในการทำงานก่อนทุกครั้ง เพราะการมีข้อมูลอยู่ในมือเพื่อนำไปใช้ในการทำงานจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตนเองสามารถงัดเครื่องมือ..อาวุธต่างๆ มาปรับใช้ในการทำงานร่วมกับผู้นำท้องถิ่นได้ และผลจากการทำงานแต่ละครั้งจะช่วยให้ตนเอง“กำชัยชนะเล็กๆได้เสมอ”
ตัวอย่างการทำงาน..ที่กำชัยชนะเล็กๆ
จะขออนุญาตเล่าการทำงานในพื้นที่ที่ผ่านมาที่คิดว่าตนเองประสบความสำเร็จเล็กๆในการทำงานเพราะ ณ ขณะนี้การทำงานของตนเองกำลังเริ่มสร้าง“วินัยในการทำงาน”โดยการใช้ KM ในการทำงานให้อยู่ในเนื้อในตัวของตนเองให้มากขึ้น
การหาความรู้ก่อนทำเพื่อจัดเตรียมงานเทศกาลลอยกระทงของวัดดาว โดยจะจัดงานในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๔๙ ซึ่งเป็นการบ้านให้ผู้นำท้องถิ่นได้ร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมลงมือทำในการจัดงานครั้งนี้
ก่อนที่จะถึงงานลอยกระทงต้องผ่านการเตรียมงานเพื่อให้งานบรรลุผลสำเร็จ ทาง อบต.วัดดาวต้องการให้สรส.มาร่วมออกแบบกระบวนการเพื่อชวนผู้นำท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการ “เตรียมงาน โดยการหาความรู้ก่อนทำ” โดยผู้เขียนได้ออกแบบกระบวนการโดยการใช้ความรู้เดิมจากการที่คุณทรงพลเคยออกแบบกระบวนการในเวทีเพื่อถอดบทเรียนจากการทำงานของกลุ่มสตรีวัดดาวที่ใช้หลักการ“เหลียวหลัง..แลหน้า” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งกระบวนนี้มีความเหมาะสมในการนำมาใช้ในการชวนคุยเพื่อร่วมออกแบบงานลอยกระทงร่วมกับผู้นำวัดดาวในปีนี้เป็นอย่างยิ่ง
วางแผนก่อนทำ ร่วมกับ นายกประทิว ก่อนถึงวันนัดผู้นำท้องถิ่นร่วมพูดคุยเพื่อออกแบบการจัดงานลอยกระทง ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๔๙ การเตรียมข้อมูล..หาความรู้ก่อนทำ ร่วมกับนายกประทิวถือเป็นขั้นตอนการทำงานของผู้เขียนไปซะแล้ว โดยมีลำดับขั้นตอนการชวนคุย ดังต่อไปนี้
(ผู้เขียนเป็นคุณอำนวยในเวที, นายกประทิวเป็นคนเติมเต็ม, คุณอัฒยาเป็นคุณบันทึก คุณสหัทยาตั้งกรอบ,เก็บประเด็น, ประเสริฐ เจ้าหน้าที่อบต. เก็บภาพ)
จัดการความรู้ขณะทำ...ต้องทำให้บรรลุเป้าหมายให้ได้
ในวันที่ ๙ ตุลาคม ๔๙ เป็นเวทีเพื่อร่วมออกแบบงานลอยกระทงร่วมกับผู้นำท้องถิ่นวัดดาว โดยในระหว่างที่รอทางอบต.วัดดาวได้มีการฉายภาพเวทีฝึกอบรมผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านมาที่ได้ผ่านกระบวนการกับสรส.ทั้ง ๒ เวที ให้ผู้เข้าร่วมชมไปพลางๆก่อน เพื่อรอผู้เข้าร่วมท่านอื่นๆมาร่วมประชุมให้ครบ จะได้เริ่มประชุมพร้อมกัน
นายกเปิดหัวเวที..มีคุณอำนวยช่วยคัดท้าย
นายกประทิวเป็นผู้กล่าวเปิดหัวงานเพื่อบอกกล่าวความคาดหวังของการนัดหมายมาร่วมออกแบบงานลอยกระทงในปีนี้ จากนั้นจึงโยนเวทีให้คุณอำนวยอย่างผู้เขียนเป็นคนเริ่มดำเนินการ โดยมีกระบวนการ ดังนี้
· ชมภาพลอยกระทงปีที่แล้ว เพื่อทวนความจำ
· ตั้งคำถามชวนคิดทบทวน “เหลียวหลัง..งานลอยกระทงปีที่แล้ว”
· คุณอำนวยที่ดี ต้องให้ความสำคัญกับผู้นำ“ท้องถิ่น”(นายกอบต.) กับ “ท้องที่”(กำนัน) ให้เท่าเทียมกัน
· นำคำตอบที่ได้..มาจุดไฟให้ปีนี้
· ตั้งคำถามให้คิด “ถ้าจะทำให้ดีกว่าปีที่แล้ว ควรทำอย่างไร”
· ชวนระดมสมอง “ออกแบบกิจกรรม” ของงานลอยกระทงปีนี้
· ผลที่ได้ในแต่ละกิจกรรม คือ การเคารพความคิดของผู้นำตำบล
· ชวนกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน
· ให้แต่ละคนกลับไปคิดงาน คิดแผนในแต่ละฝ่าย เพื่อนำมาเสนออีกครั้งก่อนการจัดงาน กำหนดในวันที่ ๒๔ ต.ค. ๔๙ การชวนคุยกับบทบาทหน้าที่ของการเป็นคุณอำนวยในเวที นอกจากการต้องสร้างบรรยากาศร่วมในเวทีโดยการมีลูกล่อ ลูกชน (ลูกฮา) เพื่อกระตุ้นบรรยากาศให้ผู้เข้าร่วมเวทีกล้าพูด กล้าคุย กล้าแสดงความคิดเห็นแล้วนั้น กระบวนการเพื่อปราบ“ตัวป่วน”ในเวที กับคนที่ยังมีจริตไม่ตรงกับทุกคนในเวที เป็นเรื่องที่ยากยิ่งที่สุดเพราะการงัดอาวุธเพื่อมาต่อสู้กับตัวป่วนในเวทีจำเป็นต้องอาศัยเทคนิคในเรื่องการเรียนรู้อุปนิสัยของแต่ละคน, การวางท่าทาง ตลอดจนถ้อยคำที่ต้องสรรมาคัดใช้เพื่อให้ตัวป่วน..หยุดที่จะฟัง และปรับวิธีคิดมาเห็นกับคุณอำนวยในเวทีด้วย
ตัวอย่างการปราบตัวป่วนในเวทีหลักการ...เมื่อตัวป่วน..ไม่เข้าใจ และโต้แย้ง ขอให้คุณอำนวยนิ่งฟังเขาก่อน แล้วค่อยใส่ความคิดใหม่ให้ โดยไม่ทิ้งข้อคิดของเขา แต่ให้ใส่ข้อคิดที่เป็นการเติมเต็มให้เขาให้ได้ ยกตัวอย่างจากการลงพื้นที่ เพื่อการเตรียมงานลอยกระทงร่วมกับผู้นำวัดดาว ลุงมานิตย์(ประธานสภาอบต.วัดดาว) จะมีวิธีคิดที่ยึดติดกับรูปแบบงานลอยกระทงเดิมๆ เช่น การมีรำวงย้อนยุค, การประกวดร้องเพลง เป็นต้น เมื่อคุณอำนวยชวนคุยเพื่อให้ทุกคนได้คิดกิจกรรมงานลอยกระทงปีนี้ที่แฝงนัยยะของการให้ความรู้ในแต่ละกิจกรรม ผู้นำท่านอื่นพอที่จะเข้าใจและมีความเห็นคล้อยตาม แต่ลุงมานิตย์บอกว่า..“ไม่ควรเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น ควรคงรูปแบบเดิมเพราะงานลอยกระทงทุกคนคงไม่ได้ต้องการมาหาความรู้ คิดว่าทุกคนอยากมาสนุก มาพักผ่อนกันมากกว่า” สิ่งที่ลุงมานิตย์กล่าวมานั้น คือ ข้อเท็จจริงที่คุณอำนวยต้องเคารพความคิดของท่าน แต่ที่สำคัญ คือ เราจะมีกลวิธีอย่างไรในการให้เขายอมรับความคิดใหม่จากเราโดยไม่ให้เขารู้สึกว่าเราเข้ามาเปลี่ยนความเป็นวิถีชีวิตชุมชนของเขากลวิธีปราบตัวป่วน ต้องให้โดนตัว..โดนใจเขาที่สุด
· นำความคิดของเขายกมาเป็นเรื่องที่ต้องยึดถือปฏิบัติ แต่ให้วงสนทนาช่วยเติมเต็มความคิดของเขา
· ชื่นชมความคิดของเขา เพราะสิ่งที่เขาคิด คือ การกล้าแสดงความคิดเห็น นำจุดเด่นของเขามาใช้ให้เป็นประโยชน์
· ท่าทีคุณอำนวยต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวจากอาการของตัวป่วน เพื่อช่วยให้เขารู้สึกดีเป็นมิตรกับเรา
· จบความคิดของตัวป่วนให้สวยงาม โดยให้ที่ประชุมร่วมสรุปเวที และเป็นกลวิธีที่ช่วยให้ตัวป่วนยอมรับหลักการด้วยกันกับทุกคน การ AAR ก็สำคัญ เพราะช่วยให้แผนงานข้างหน้าชัดมากขึ้น
นอกจากการลงพื้นที่เพื่อเป็นคุณอำนวยให้แก่ผู้นำท้องถิ่นแล้วนั้น การร่วมสรุปบทเรียนจากการจัดเวทีถือเป็น “วินัยในการทำงาน” ที่สำคัญมากที่สุด เพราะการร่วมประเมิณผลจากการดำเนินงาน “การร่วมตีเหล็กเมื่อร้อน” จะช่วยเอื้อให้ทีมผู้ประสานงานและผู้นำท้องถิ่นมองเห็นภาพการทำงานในสิ่งที่ดีแล้ว และสิ่งที่ควรปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ผลจากการพูดคุยเพื่อสรุปบทเรียนร่วมกัน ทำให้ผลที่เกิดขึ้นช่วยต่อจิ๊กซอว์ภาพการทำงานของเราในครั้งหน้าให้มีความคมชัดมากขึ้น ดังนี้
· เห็นวิธีคิดของผู้นำท้องถิ่นบางท่านที่ต้องอาศัยเวลาเพื่อเป็นเครื่องช่วยในการปรับวิธีคิด
· เห็นแววและศักยภาพของนายกประทิว ต่อบทบาทการเป็นคุณอำนวยในเวที
· เห็นจุดบอดของเจ้าหน้าที่อบต.ที่ต้องสรรกิจกรรมเพื่อพัฒนาเจ้าหน้าที่ให้ดียิ่งขึ้น เช่น การอบรมทั้งองค์กรเพื่อสร้างคนทำงาน หากภายภาคหน้าวัดดาวต้องเดินงานเองจะได้มีคนทำงานที่รองรับการพัฒนาพื้นที่ได้
· เห็นชัยชนะเล็กๆจากการชวนคุยเพราะบรรลุผลตามที่ตั้ง “ธง” ไว้ เช่น
- การได้เหลียวหลังเพื่อทบทวนการจัดงานลอยกระทงที่ผ่านมาพร้อมกับ การสะท้อนข้อดี
- ข้อที่ควรปรับปรุงเพื่อใช้ในการจัดงานปีนี้
- การได้คนทำงานแต่ละฝ่าย, ได้เจ้าภาพงานในแต่ละเรื่อง พร้อมกับการมานำเสนอในวันที่ ๒๔ ต.ค. ๔๙ อีกครั้งร่วมกัน
- การฝึกวิธีคิด, การระดมสมองเพื่อออกแบบกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในงานลอยกระทงอย่างมีส่วนร่วม
- การเคารพความคิดของคนวัดดาว โดยผู้นำต่างนิ่งฟังกันเองมากขึ้น
นำผลจากการประเมิณร่วมกัน เพื่อร่วมออกแบบเวทีวันที่ ๒๔ ต.ค. ๔๙
คุยงานนี้ แต่ได้งานอื่นๆ ด้วย เช่น เวทีโรงเรียนพ่อแม่, เวทีฝึกอบรมผู้นำ, แผนการเตรียมงานเพื่อจัดตลาดนัดอบต. ฯลฯ ต้องทำให้ดี ให้ได้ และให้ต่อเนื่อง
การทำงานกับบทบาท“พี่เลี้ยง”ในพื้นที่หรือแม้แต่“การเป็นคุณอำนวย”ในเวที ถึง ณ ขณะนี้การทำงานของตนเองต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า การลงพื้นที่เพื่อทำงานในแต่ละครั้ง ต้องทำให้ได้ ให้สำเร็จเพราะถ้าผลจากการปฏิบัติงานแต่ละครั้ง เราไม่สามารถกำชัยชนะเล็กๆ ในการทำงานได้ ก็อย่าหวังว่าเราจะมุ่งไปสู่“ธงใหญ่ปลายทาง”ได้อย่างไร?
ดังนั้น สิ่งสำคัญของการก้าวมาสู่การทำงานเพื่อใช้หลักการจัดการความรู้ในการทำงาน คุณต้องทำให้ได้และต้องให้สำเร็จเพราะถ้าทำงานโดยไม่สรรหาความรู้ ก่อนทำ ขณะทำ หลังทำ ตนเองจะไม่สามารถไปเป็นพี่เลี้ยงให้ใครเขาได้เพราะตนเองยังทำไม่ได้และไม่ได้เข้าไปอยู่ในเนื้อในตัวของเรา แล้วเราจะไปบอกให้เขาทำได้อย่างไร?
ทุกวันนี้ตนเองเริ่มทำงานโดยเร่งสร้างวินัย โดยใช้ KM ให้เป็นวิถีชีวิต เพราะคิดว่า “..เราได้เดินมาถูกทาง เพราะเป็นการทำงานที่ตนเองชอบ คิดว่าการลงพื้นที่ต่อการทำงานแต่ละครั้งต้องเตรียมการบ้านก่อนทำ หมั่นทบทวนการบ้านที่ทำไปให้สม่ำเสมอและที่สำคัญอย่าสะสมการบ้านจนไม่สามารถทำการบ้านได้ทั้งหมด เพราะนั่นหมายถึงว่า “คุณกำลังจะสอบตก..ซ้ำชั้น และอาจเรียนไม่จบเลยก็ได้”
ชไมพร วังทอง
ผู้ประสานงานพื้นที่ ภาคกลาง
ตำบลวัดดาว อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี