ท่านคุณหมอประเวศวะสีได้เสนอ วัตถุประสงค์ของคนไทยร่วมกันที่เราควรทำ ไว้ 8 ประการ ลองอ่านดูนะครับ
วัตถุประสงค์ของคนไทยร่วมกัน
คนที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกันจะร่วมกันทำ
คนที่มีเป้าหมายการเดินทางร่วมกันจะร่วมกันเดินทางไปทางเดียวกันได้
ควรมีการหาวัตถุประสงค์ร่วมกัน ถ้ามีกระบวนการหาวัตถุประสงค์ร่วมกัน และหาวัตถุประสงค์ร่วมกันได้ คนไทยจะรวมตัวกันเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ร่วมกันนั้น
วัตถุประสงค์ที่แน่นอนและตรงกันหมดทุกคนคือความสุข
ทุกคนต้องการความสุข แต่มักได้รับความทุกข์
แสดงว่ายังขาดความเข้าใจว่าความสุขเกิดจากอะไร มักคิดแบบแยกส่วนเช่นว่าความร่ำรวยทำให้เกิดความสุข คิดเฉพาะความสุขของตัวแต่ไม่นึกถึงความสุขของคนอื่น หรือคิดว่ามีแต่จิตใจเท่านั้นวัตถุไม่สำคัญ ต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น การขาดความเข้าใจว่าความสุขเกิดจากอะไร ทำให้สร้างความสุขไม่ได้ ฉะนั้น ควรใช้เวลาช่วยกันทำความเข้าใจว่าความสุขเกิดจากอะไร ต่อไปนี้เป็นเพียงข้อเสนอเพื่อกระตุ้นให้คิด เมื่อร่วมกันคิดแล้วน่าจะออกมาเป็นปัญญาร่วมที่อาจดีกว่าเท่าที่เสนอ
๑. การไม่ทอดทิ้งกัน การทอดทิ้งกันทำให้เกิดทุกข์ การไม่ทอดทิ้งกัน การร่วมทุกข์ การมีไมตรีจิตต่อกัน เป็นบ่อเกิดของความสุข การพัฒนาที่เอาเงินเป็นตัวตั้ง คนจะทอดทิ้งกัน
๒. การมีเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การมีปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตอย่างพอเพียงโดยทั่วถึง การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่เป็นบ่อเกิดของความร่มเย็นเป็นสุข การไม่พอกินไม่พอใช้ การเป็นหนี้สิน การมีมิจฉาอาชีวะ เป็นบ่อเกิดของการแย่งชิง ความขัดแย้ง และความรุนแรง
๓. การใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น อากาศ ดิน น้ำ ป่า เป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิต ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึง และใช้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ความไม่เป็นธรรม และการแย่งชิงเป็นบ่อเกิดของความยากจน ความขัดแย้ง และความรุนแรง
๔. การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน ถ้าคนทุกคนรู้สึกว่ามี และได้รับการเคารพในศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคน จะมีความสุขทั้งเนื้อทั้งตัว และเกิดพลังสร้างสรรค์มหาศาล การเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคนเป็นศีลธรรมพื้นฐานของสังคม เป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่แท้ สิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี สิทธิของผู้ด้อยโอกาส การศึกษาและการสาธารณสุขที่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ การเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น ความเป็นธรรมทางสังคมและสิ่งดีๆ อื่น เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ และทำให้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาทุกประเภท
๕. ความเป็นธรรมทางสังคม ความเป็นธรรมทางสังคมทำให้มีความสุข ความรักชาติ รักส่วนรวม ความร่วมมือ การรักษาระบบ ถ้าขาดความเป็นธรรมจะทำให้เกิดความเกลียดชัง ความไม่รักส่วนรวม ความไม่ร่วมมือ ความอยากทำลาย ควรจะดูแลความเป็นธรรมทุกๆ ด้าน ทั้งความเป็นธรรมทางกฎหมาย ความเป็นธรรมทางสังคม ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ฐานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากเกินทำให้ขาดความเป็นธรรมทางสังคม ในประเทศเราช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยห่างออกไปเรื่อยๆ ในไต้หวันช่องว่างนี้ลดลงมาก ในประเทศญี่ปุ่นคนที่มีรายได้สูงสุดมากกว่าคนต่ำสุดประมาณ ๑๐ เท่า ในนอร์เวย์ตัวเลขนี้ต่างกันเพียง ๗ เท่า เราจะมุ่งแต่สร้างความร่ำรวยอย่างเดียวไม่ได้ เพราะคนที่แข็งแรงกว่าหรือมีโอกาสมากกว่าจะเอาเปรียบคนอื่น ทำให้ช่องว่างนี้ห่างมากขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม การเมือง และความขัดแย้งต่างๆ ตามมา คนไทยคงจะต้องตกลงกันว่าคนที่รายได้ต่ำสุดกับสูงสุดควรจะแตกต่างกันสักกี่เท่า จึงมีความเป็นธรรมทางสังคม
๖. สันติภาพ สังคมที่มีความรุนแรงหรือสงคราม จะขาดความสุขและขาดโอกาสการขาดพัฒนา สันติภาพเป็นสุขภาวะทางสังคม รัฐต้องไม่ชักนำให้เกิดความแตกแยก แต่ส่งเสริมการคิดอย่างสันติ พูดอย่างสันติสามารถแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ประเทศไทยควรจะมีบทบาทนำในเรื่องสันติภาพ
๗. การพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้น คนจำนวนมากถึงแม้มีอะไรๆ พร้อมก็ยังไม่มีความสุข แต่มนุษย์สามารถบรรลุความสุขได้ด้วยการฝึก การศึกษาที่เรียกว่า จิตตปัญญาศึกษา ช่วยให้เข้าถึงความจริง ความงาม และความสุข ทุกวันนี้เราศึกษาวิชาต่างๆ ร้อยแปด แต่ไม่เคยศึกษาให้เกิดความสุข รัฐพึงส่งเสริมให้จิตตปัญญาศึกษาเป็นการศึกษาสำหรับคนทั่วไป และอยู่ในการศึกษาทุกประเภทและทุกระดับ อันจะยังให้ความสุขมวลรวมของสังคมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
๘. ความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นและประชาสังคม ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนที่เป็นไปได้โดยปราศจากความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ควรรีบกระจายอำนาจการพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นจัดการเรื่องของเขาเองให้มากที่สุด ชุมชนเข้มแข็งจะแก้ความยากจนและปัญหาอื่นๆ ได้ทั้งหมด แต่ละท้องถิ่นมีวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย ท้องถิ่นต้องกำหนดการพัฒนาของตัวเองได้ การพัฒนาจึงจะสอดคล้องกับวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ตราบใดที่ความสัมพันธ์ทางสังคมของเรายังเป็นทางดิ่งระหว่างผู้มีอำนาจข้างบนกับผู้ไม่มีอำนาจข้างล่าง เศรษฐกิจจะไม่มีวันดี การเมืองจะไม่มีวันดี และศีลธรรมจะไม่มีวันดี เศรษฐกิจ การเมือง และศีลธรรมจะดีต่อเมื่อสังคมมีความสัมพันธ์ทางราบ นั่นคือผู้คนมีความเสมอภาคและมีการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง หรือที่เรียกว่ามีความเป็นประชาสังคม รัฐต้องส่งเสริมความเป็นประชาสังคม
ถ้าความสุขเป็นที่ต้องการของคนไทยร่วมกัน ก็ต้องสร้างและใช้ดรรชนีวัดความสุข ไม่ใช่ใช้จีดีพีอย่างเดียว จีดีพีไม่ได้บอกปัจจัยของความสุขทั้ง ๘ ประการ ดังกล่าวข้างต้นเลย การเน้นแต่ความร่ำรวยจะนำไปสู่ความเสื่อมเสียทางศีลธรรม ความขัดแย้ง และความรุนแรง
ถ้ามีหน่วยงานราชการหรือเอกชนตั้งใจทำเรื่องดังกล่าวข้างต้น คนไทยคงมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ
ขอบคุณสยามเสวนาที่เอื้อเฟื้อข้อมูล
ขอบคุณคุณขจิตมากเลยค่ะสำหรับบันทึกนี้ ช่วยกันคนละนิด วงจะขยายออกไปเรื่อยๆ ทั่วทั้งสังคมไทยค่ะ
แนวคิดท่านประเวศ เยี่ยมจิงๆ
แวะมา ลปรร ด้วยค่ะ
ส่วนตัวแล้วพบว่า ถ้าได้พัฒนาข้อ ๗ คือ เรื่องจิตใจดีๆ แล้ว ที่เหลืออีก ๗ ข้อจะตามมาเองคค่ะ
พิสูจน์ได้และจับต้องได้ด้วยค่ะ
ถ้าถามว่ามีคอร์สพัฒนาจิตจะแนะนำไหม มีแน่นอนค่ะ เพราะตัวเองก็สนใจเรื่องนี้อยู่
ไปมาแล้วหลายที่ ดูมาก็หลายอย่าง แต่ชอบคอร์สพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข หรือการเจริญาสติวิปัสสนาสำหรับฆราวาสในแนวคุณแม่สิริกรินชัย ที่มูลนิธิศูนวิปัสสนาเชียงใหม่มากที่สุดเลยค่ะ
ไปมา ๓๐ กว่าครั้งใน ๔-๕ ปีที่ผ่านมา เห็นคนผ่านคอร์สออกไปเป็นพัน ๆ คน ทุกเพศ วัย สาขาอาชีพและฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
มันได้ผลจริงๆ นะคะ
ของดีเรามีอยู่ใกล้ตัว หลักสูตรพระพุทธเจ้าในการขัดเกลาจิตใจนี่ล่ะค่ะ และสามารถนำไปใช้กับทุกศาสนาได้ด้วย มีฝรั่งต่างชาติมาฝึกมากมาย ผู้ที่ไม่ใช่พุทธ หรือติดข้อห้ามทางศาสนาอื่นๆ ก็ไม่ต้องสวดมนต์ไหว้พระได้ค่ะ แค่ฟังบรรยายและฝึกเดินจงกรมนั่งสมาธิ กับเจริญสติต่อเนื่องในทุกกิจกรรมเท่านั้น
ต้องต่อเนื่อง ๗ วันนี่แหละค่ะ ถึงจะเห็นผลชัด
แต่คงต้องเริ่มจากผู้ใหญ่ผู้วางนโยบายเลยมั้งคะ
จับไปเข้าคอร์สเสียก่อน แล้วจะได้เข้าใจว่า มันดีและมีประโยชน์กับทุก ๆ คนในโลกนี้อย่างไร
ถ้าคนไทยได้ฝึกกันตั้งแต่เด็ก ปัญหาบ้านเมืองลดน้อยลงไปได้เยอะแน่ค่ะ เพราะคนจะพูดกันรู้เรื่องมากขึ้น เข้าใจตรงกันมากขึ้น
ฝรั่งเขาเห่อกันจะแย่อยู่แล้ว วิปัสสนาน่ะค่ะ เขาทำป.เอกเรื่องวิปัสสนากันตั้งกี่พันเรื่องแล้วทราบไหมคะ โห...เราเป็นคนไทย เป็นพุทธโดยกำเนิดงี้ ไปค้นคว้าทีรู้สึกอายฝรั่งมาก
ก็แวะมาบ่น ๆ ซะละมากกว่าค่ะ เพราะทราบว่าในความเป็นจริงแล้วคงจะยาก คนเข้าใจเรื่องนี้น้อยค่ะ
ฉันเลือกหัวข้อวิจัยผิดไปหรือเปล่านี่...เฮ้อ...(เริ่มท้อ)
สวัสดีค่ะ,
ณัชร
เจริญพร อาจารย์
ขอคัดค้านความเห็นนี้ในประเด็นที่ว่า มีลักษณะเพ้อฝันเกินไป เพราะไม่ได้กำหนดจากข้อเท็จจริงทางสังคม
จริงๆ นะครับอาจารย์ หลวงพี่จะรู้สึกกระทบกระทั้งแห่งจิดเกือบทุกครั้ง เมื่อมาเจอแนวคิดทำนองนี้
เอิร์มสันเคยวิจารณ์แนวคิดของคานต์ว่า เหมือนพิมพ์เขียวรถยนต์ที่ดีที่สุด แต่ไม่สามารถสร้างได้...ความคิดเห็นของนักคิด นักวิชาการ วิชาเกิน (โดยเฉพาะเมืองไทย)หลายๆ ท่าน ก็ทำนองนี้แหละ ครับ
เจริญพร
หลวงพี่อ่านที่คุณหมอประเวศเสนอดี ๆ ก่อน ดีไหมคะ
ท่านเสนอสิ่งที่ "ควรทำ" ว่าถ้าทำแล้ว จะ "มีความสุข"
ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะเสนอสิ่งที่ "จะสามารถทำได้" ตาม "ข้อเท็จจริงทางสังคม" ค่ะ
กุศลนั้นเกิดจากเจตนาผู้คิด ผู้พูด ผู้อนุโมทนา และผู้เริ่มกระทำนะคะคิดว่า
คิดเมื่อใด อนุโมทนาด้วยเมื่อใด ลงมือทำเมื่อใด บุญสำเร็จเมื่อนั้นค่ะ
คนเราจะมี "ความสุข" เมื่อสามารถประคองใจให้เป็นกุศลได้ในทุก ๆขณะจิตมั้งคะ?
คำว่า "สังคม" ก็ดี หรือสิ่งภายนอกใด ๆ ที่จะมากระทบก็ดี มันจะเป็นอย่างไร มันก็เป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้วเป็นธรรมดา ไม่ว่าเราจะไปจัดแจง จัดการ ยุ่งเกี่ยวเสนอแนะ กับมันด้วยหรือไม่ เราก็คงมีหน้าที่กำหนดรู้ด้วยสติเพื่อให้เกิดปัญญา
แล้วกระบวนการนั้นล่ะค่ะ มันก็ดับทุกข์ไปในตัว
ใครทำ ใครก็ได้ผลเดี๋ยวนั้นเลยน่ะค่ะ
หลวงพี่คิดแบบกระบวนการ "วิชาการ" ทางตะวันตกมากเกินไปหรือเปล่าคะ ถึงได้บอกว่ารู้สึกกระทบกระทั่งทางจิต เมื่อได้ยินข้อเสนอเช่นนี้?
กระทบจิตสิคะยิ่งดี ทุกข์กระทบ ธรรมกระเทือนค่ะ
หนูก็ไม่บังอาจสอนหนังสือสังฆราชหรอกนะคะ วุฒิทางโลกก็แค่ป.โท วุฒิทางธรรมก็แค่ธรรมโท แต่มันไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับการน้อมกายน้อมใจไปนอนวัดแล้วได้เรียนด้วยกายและใจตัวเองแบบไม่ได้วุฒิอะไรติดมาเลยนี่น่ะค่ะ
วิชาว่าด้วย "ใจ" ของพระพุทธเจ้านี่ ที่สุดแล้วค่ะ
เจตนาที่จะทำ และคิดดี ทำดี และลงมือทำดีในปัจจุบันขณะนี้ อย่างเต็มกำลังความสามารถของทุกๆ คน โดยไม่มีการรั้งรอ น่าจะเป็นแก่นสารและสาระสำคัญสูงสุดของการนำไปสู่การพ้นทุกข์ทั้งปวงของแต่ละบุคคล ตามนัยยะของพุทธศาสนา มากกว่าการนั่งรอคอยการประมวลผลข้อเท็จจริงทางสังคม เพื่อหา "กระบวนการ" ที่คิดว่าน่าจะ foul-proof และหวังว่ากระบวนการนั้นน่าจะช่วยแก้ปัญหาให้เราได้นะคะ
อัตตาหิ อัตโนนาโถ ค่ะ ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าเราสามารถสร้างภูมิคุ้มกันใจ และสร้างความสงบสันติสุขในระดับบุคคลได้ดีในระดับหนึ่งแล้ว ความสงบในระดับครอบครัว และชุมชน ก็น่าจะเป็นที่หวังได้ค่ะ
มีตัวอย่างให้เห็นนะคะ สมัยพุทธกาลก็มี แคว้นกุรุ ที่เขาเจริญสติกันทั้งแคว้นตลอดเวลา เจอหน้ากันก็จะถามว่า เธอกำลังเจริญสติด้วยฐานไหน ทราบแล้วก็จะอนุโมทนากัน
ใครไม่เจริญสติ เขาก็อัปเปหิ ค่ะ
นั่นไงคะ ตัวอย่างระดับสังคม
แต่ก็นั่นแหละค่ะ ทุกอย่างมันก็มีเรื่องความไม่เที่ยงเป็นธรรมดา
นี่ก็เลยกึ่งพุทธกาลมาแล้ว ขนาดแคว้นกุรุที่เคยเจริญสติกันทั้งแคว้นยังเสื่อมได้
แล้วเราจะเหลือรึ?
ว่าแล้วก็ต้องเร่งเจริญสติของตัวเองต่อไป
เพราะดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"...วันคืนล่วงไป ล่วงไป เธอกำลังทำอะไรอยู่..."
ด้วยความเคารพ,
ณัชร
เจริญพร คุณโยมณัชร
ไม่เถียง จ้า ขอ สาธุ ก็แล้วกัน
แต่ หลวงพี่ นะ เป็นประเภทน้ำชาล้นถ้วย จ้า
เจริญพร