รักวัวให้ผูก...รักลูกให้ตี...คำสอนดี ๆ ของคนโบราณ...


การตีลูกจะทำให้กระบวนการสร้างสรรค์โครงข่ายใยสมองชงักงัน...ผมจึงต้องทำให้การตีลูกเป็นเรื่องที่เราเรียนรู้ชีวิตของกันและกัน(ระหว่างผมกับลูก)...

วันนี้ผมขอกล่าวถึงการตีลูก

ดังคำโบราณ"รักวัวให้ผูก...รักลูกให้ตี"

ผมไม่เคยคิดมาก่อนจะมีลูกเลยว่า จะต้องตีลูก...เพราะเราเองก็ไม่มีใครอยากถูกตี...หนำซ้ำยังมีความเชื่อว่าการตีลูกจะทำให้กระบวนการสร้างสรรค์โครงข่ายใยสมองชงักงันอีกด้วย...

การตีลูกเลยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ชีวิตซึ่งกันและกัน(ระหว่างผมกับลูก)...

ด้วยโอกาสที่ผมเรียนรู้จิตวิทยาเล็กน้อย ผมก็มีโอกาสพูดคุย...ถ่ายทอดเรื่องนี้กับคนที่รับการอบรมหลายคน...จนกลายเป็นองค์ความเชื่อบางอย่างเกิดขึ้น...

เมื่อผมมีลูก ผมได้ใช้วิธีการตีลูก 2 แบบ คือตีร่างกาย....กับตีที่ใจ...

ลูกผมทั้ง 3 คน จะถูกผมตีคนละ 3-5 ครั้ง ในชีวิต โดยผมจะบอกลูกทุกคนตั้งแต่ก่อนเขาจะถูกตีว่า...

ผมจะใช้วิธีตีเขาเพื่อสอนให้รู้และเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต... และเชื่อว่าเขาจะต้องถูกตีอย่างแน่นอน...

แต่ผมก็ให้สัญญาว่า หลังอายุครบ 7 ปี พ่อจะไม่ตีลูกอีกต่อไป... แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

เหตุที่ทำให้ผมต้องตีที่ร่างกาย...ผมอธิบายได้ดังนี้ครับ
เมื่อเราเปิดประตูการเรียนรู้ของเขาอย่างสุด ๆ แล้ว...เราจะพบว่า ขอบเขตของการเรียนรู้หามีที่สิ้นสุดไม่...

ตั้งแต่เขาเริ่มพูดได้ การถ่ายทอดเชิงภาษาที่ร้อยเรียง จัดกระบวนสังเคราะห์ผ่านสมอง ยิ่งทำให้เกิดความหลากหลายลุ่มลึก...

ซึ่งไม่มีใครเลยที่จะสกัดกั้นการเรียนรู้ที่พอกพูนกิเลส ความต้องการ...ความ"อยากได้อยากมีอยากเป็น"ควบคู่ไปด้วย(พ่อแม่หลายคนคงบอกว่า...ก็นี่แหละที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เขาอยากเรียนรู้...555)

ซึ่งตรงนี้ผมเชื่อว่าทำให้เขาเกิดอาการติด(ใจ)...และทำให้เขาอยากกระทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเกิดกว่าเหตุผลใดๆจะทัดทานได้...

ผมจึงต้องตี...

และลูกทุกคนหนีไม่พ้นคดีนี้แน่ ๆ ...

ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งในการตี(ทางร่างกาย)ของผม คือมีการบอกก่อน 3 ครั้งว่าทำอย่างนี้ต้องถูกตี...

และต้องตีในขณะที่ไม่ใช้อารมณ์(ตรงนี้ผมเชื่อว่าเป็นจุดสำคัญที่สุด...เพราะผมเชื่อว่าลูกเรียนรู้จากสิ่งที่เราบอกเราสอนเพียง 10 %% ... ที่เหลือ 90 %% เขาเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและความเป็นไปในครอบครัว โดยเฉพาะ อารมณ์ความรู้สึก...)

เวลาที่ผมตีลูกผมตีแรงมาก(ด้วยท่าทางที่ปกติ...555...ผมคิดเองนะ)เพื่อหยุดโลกของเขาที่เตลิดไปสู่การกระทำที่จะมีผลต่อจิตวิญญาณในอนาคต...

ลูกสาวผม(ซึ่งแม่เขาเชื่อว่าผมรักมากจนไม่น่าจะตีลูกได้)ถูกตีครั้งแรกเมื่อเขาเอานมขวดมาเขย่าเทราดพื้นบ้านรอบเตียงนอน...

ครั้งแรกผมถามเขาว่าทำเพื่ออะไร...เมื่อไม่มีเหตุผลผมบอกว่าอย่าทำอีก...

เขาทำครั้งที่สองผมก็บอกเขาว่าการทำแบบนี้ไม่ดีอย่างไรและต้องถูกตี(ซึ่งเขาคงไม่เข้าใจ...555)

ครั้งที่ 3 (ในเวลาไล่เลี่ยกัน) ผมจับเขามากอดแล้วก็บอกว่า"พ่อรักน้องเมนะลูก พ่อตีนะ...

ผมรู้ว่าโลกของเขากลับตารปัด...จากความเพลิดเพลินมาสู่จุดเริ่มต้นของความสงสัย...ผมใช้เวลาอีกไม่นานที่ทำให้เขาเห็นว่า ความรักที่ผมมีต่อเขาไม่ลดลงเลย(มีแต่จะเพิ่มขึ้น)

แต่กฎ กติกา ของครอบครัวและสังคม ก็เป็นสิ่งจำเป็น... เมื่อเราเป็นมนุษย์...

 ผมต่อด้วยประเด็น...ตีด้วยใจ...นะครับ วิธีนี้ควรใช้เมื่อลูกเราโตพอที่จะมีสำนึก ผิดชอบชั่วดีแล้ว(ผมคิด)... ตอนที่ลูกคนกลางผมอายุ 7-8 ปี เขาเป็นเด็กวันพุทธแท้(Wednesday child) ซึ่งตามหลักจิตวิทยาต้องมีปัญหาแน่นอน...เขาเคยคิดฆ่าตัวตายเมื่ออายุ 8 ขวบ(พี่ชาย 10 ขวบ / น้องสาว 1 ขวบ) ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าเขาสังเกตุได้ว่า คุณแม่ตื่นเต้นกับความสำเร็จของพี่ชายมากแค่ไหน...พร้อมกับแสดงความรัก เอ็นดูลูกสาวมากกว่าใคร(ใครลองมาเป็นลูกคนกลางแบบนี้ดูดิ...555)... เขาคิดฆ่าตัวตายเพราะขนมจีบถุงเดียว....ถุงเดียวจริง ๆ ... 555

ผมรับแม่เขาจากที่ทำงาน(บังเอิญเป็ญช่วงปิดเทอม เด็ก ๆ เลยอยู่บ้าน)แม่เขาก็ซื้อขนมจีบมา 3 ถุง(นัยว่ารักลูกเท่ากัน คนละถุงว่างั้น...)

ด้วยความที่พี่ชายเขาเป็นคนกินเก่ง(อันนี้เป็นผลมาจากการที่ผมเลี้ยงลูกเอง...ข้าวถ้วยนึงผมป้อนประมาณ5-6คำหมดถ้วย...

ภรรยาผมกล่าวหาว่าผมขี้เกียจชัดๆ...555...ส่งผลให้เขากินข้าวคำเล็ก ๆ ไม่เป็น...สงสัยกระเพาะคราก...ขณะนี้อยู่ ม.5 สูง 183 ซม.)

หลังจากเล่นเตะฟุตบอลกับเพื่อนบ้าน...พี่ชายคนโตวิ่งมาถึงก่อน คนกลางยังไม่เลิก...ด้วยความหิว พี่เลยซัดเกลี้ยง 3 ถุง...

หลังจากนั้นไม่นาน พวกเพื่อน ๆ เขาก็วิ่งมาบอกผมว่าลูกชายคนกลางผมไปยืนอยู่ในน้ำกลางทุ่งนา(นอกหมู่บ้าน) นัยว่าจะฆ่าตัวตาย...

เราไปตามและยืนดูเขารอบ ๆ ไม่มีใครลงไปดึงเขาขึ้นมา... ในที่สุดแม่เขาก็ตัดสินใจถอดรองเท้าลุยน้ำ(สูงแค่เอว...แต่โคลนลึกครึ่งน่อง)ไปรับเขาขึ้นมา...ซึ่งผมคิดว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุด เขาเชื่อว่าแม่เขาลำเอียง...รักเขาน้อยที่สุด(ถ้าเป็นผมลงไปจะได้ผลน้อยกว่า)... แม่เขาก็ควรเป็นคนแก้(แต่ผมไม่กล้าพูดแบบนั้นนะ เดี๋ยวมีเรื่อง...555)

ผมสังเกตุได้ว่าลูกคนกลางมีความพยายามพิสูจน์ความรักที่พ่อแม่มีต่อเขาตลอดเวลา...

ครั้งแรกที่เขาต้องการพิสูจน์ผมเมื่อลูกสาวคลานมานั่งตักด้านขวาของผม(ขณะที่ผมนั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หลังบ้าน)ผมกอดลูกสาวแล้วหอมแก้มไป 1 ฟอด เขารีบวิ่งมานั่งที่ตักซ้าย ทั้งที่กำลั่งเล่นอยู่กับพี่ชายคนโต...

ผมก็กอดเขาและหอมแก้มไป 1 ฟอด(ซึ่งผมไหวทัน...นี่ถ้าคิดว่าอายุตั้ง 8 ขวบ หรือไม่ก็คิดว่ามันอิจฉาน้องนี่หว่า คงแย่แน่...อิอิ) เขาก็วิ่งกลับไปเล่นกับพี่ชายต่อ....

ครั้งสำคัญ.กครั้งก็คือช่วงที่เล่นกับน้องสาวแล้วน้องสาวร้องไห้ วิ่งมาฟ้องคุณพ่อ... ผมรู้สึกได้ถึงความเกร็งของลูกชายคนกลาง(ว่าพ่อจะตัดสินอย่างไร)...

ผมบอกน้องสาวเขาว่า "...นี่ น้องเมพี่เติ้ลเขารักน้องเมนะเขาถึงเล่นกับน้องน่ะ..."

ลูกชายกลางผมก็หายเกร็งแล้วรีบมารับน้องไปเล่นต่อ...

ผมเสนอกติกาในบ้านให้พวกเขาว่า...ถ้าเล่นกันแล้วร้องไห้(ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง) ต้องการให้ผมตัดสิน...ต้องรับผิดชอบร่วมกัน(คือถ้าจะตีก็ตีทั้งคู่หรือทั้งหมด...ซึ่งกรณีนี้ไม่เคยมีใครขอให้ผมตีเลย...555)

ผิดกับแม่ผม(คุณย่าของพวกเขา)ต้องให้คนตัวใหญ่สุดผิดมากกว่า(เล่นเอาลูกชายคนโตผมไม่ค่อยชอบไปบ้านย่าในช่วงนั้น)

มาถึงจุดที่ตีด้วยใจ(ไฮไลท์ของเรื่อง)...

 

ข้อเสียของผมกับภรรยาคือไม่พิถีพิถันเรื่องเงิน... ถ้าเป็นตังย่อย(ไม่ถึง 100 บาท)

เรามักจะวางไว้บนหลังตู้เย็น(ส่วนใหญ่เป็นผม)

เหตุเกิดที่เงินในกระเป๋าผมหายไป 300 บาท...จนผมต้องถามภรรยาว่าหยิบของผมไปหรือปล่าว...

ภรรยาผมบอกว่าถ้าหยิบของผมไปแม้แต่บาทเดียวก็จะบอกก่อน...

ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเศษตังบนหลังตู้เย็น ที่มักจะหายไปบ่อยๆ(คราวละ 10-20-50)

ช่วงจังหวะที่ผมสังเกตุว่าลูกชายกลางของผมมีของแปลกใหม่(ดิจิมอนรุ่นล่าสุดตอนนั้น)

เราได้ข้อสรุปร่วมกันเบื้องต้นว่าเป็นฝีมือเขาแน่...

นับว่าโชคดีที่ผมถามแม่เขาขณะที่ไปส่งที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว(มีรุ่นน้องมาเล่าให้ผมฟังเชิงปรึกษาว่า เขาตามไปจัดการที่โรงเรียน...ลูกเขาก็อายและหาวิธีหลบเลี่ยงจนกลายเป็นผลร้ายตามมา)

และโชคดีอีกเช่นกัน ที่เรื่องแบบนี้ภรรยาผมยกไว้ให้เป็นผลงานในการแก้ปัญหาของผม...อิอิ

ช่วงเย็นที่ผมไปรับเขาที่โรงเรียน...5 คน 5 ชีวิตที่เคยสนุกสนาน เฮฮา ตามแต่มุขใครมุขมัน...

วันนั้นพอขึ้นรถได้ก็เกิดบรรยากาศกดดันชนิดหนึ่ง(ที่ผมสร้างขึ้น)ขณะที่ขับรถไปแต่ละคนนิ่งเงียบราวกับหยุดเวลาไว้ชั่วขณะ...

เมื่อผมถามคำถามแรกกับลูกชายกลาง...พ่อรักเติ้ลมากนะลูก...เติ้ลรักพ่อมั้ยลูก...(เว้นจังหวะให้ได้อารมณ์)... ...เติ้ลทำอย่างนี้พ่อเสียใจมากเลยลูก... ไม่ใช่พ่อเท่านั้นที่เสียใจ...แม่ พี่ น้อง ทุกคนเสียใจหมด...และนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัว...แล้วถ้าเกิดขึ้นนอกครอบครัวจะเกิดอะไรขึ้นล่ะลูก...(ผมสาธยายต่อในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรักความผูกพันในครอบครัว และผลจากเหตุที่เขาทำ...ต่อไปจนถึงบ้าน)

ผมผ่อนคลายบรรยากาศกดดันเมื่อถึงบ้าน...ผมไม่ต้องการคำตอบ...ผมไม่ได้รับคำสัญญาใด ๆ จากปากเขา...แต่จนถึงบัดนี้...เขาไม่เคยทำแบบนั้นอีก...มิหนำซ้ำ เขากลายเป็นคนที่เก็บเงินเก่งที่สุดในบ้าน(จนบางครั้งผมและภรรยาต้องขอยืมเขาใช้...555)และไม่เคยเรียกร้องต่อรองเรื่องเงินเลย....

  
หมายเลขบันทึก: 55925เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2006 10:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 01:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

สวัสดีค่ะ

ครูอ้อยมาเยี่ยมบันทึกเก่าๆค่ะ

ครูอ้อย เคยตีลูก ทั้ง 2 คน ๆละ 1 ที

ซึ่งเป็น การตี ที่ ครูอ้อย เสียใจมาจนทุกวันนี้ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ  บันทึกยอดเยี่ยมเลยค่ะ

ข้อดีของgotoknowที่ทำให้เราเก็บบางอย่างไว้ทบทวน...

 

และเป็นสื่อที่ยังความผูกพันระหว่างเราด้วยครับครูอ้อย...

 

 

ผมได้อ่ายบทความข้างต้นแล้ว

รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำหั้ย....

ชิวิตนี้ไม่เสียดายที่เกิดมาเปนลูกของแม่ผมเรยอะคัฟฟฟฟ

T,T ถึงจะไม่ได้ใช้วิธีดั่งบทความข้างต้นก้อเหอ

แต่ผมได้โตมาเปนคนเช่นนี้ก้อภูมิใจที่สุดแร้วอะคับ

Zzzz^^

เด็กน้อย

...โตขึ้นต้องเป็นคนดีแน่ครับ...

เด็กยังเป้นไม้อ่อนดัดง่าย....ผมตีลูกชายแล้วเกิดความสงสารเค้า...แต่เราตีเพื่อสอน ให้รู้จักว่าสิ่งไหนควรทำและไม่ครวทำ...และผมตกลงกับแม่ของลูกว่า "ทุกครั้งที่มีการตีลูกต้องบอกเหตุผลด้วยว่าทำไมต้องตี" ครับ

เยี่ยมเลยครับ... พ่อปัน ปัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท