จงมองด้วย “ตา” แล้วปล่อยให้ “ปัญญา” เป็นผู้วินิจฉัย
วันหนึ่ง ขงจื๊อ พร้อมศิษยานุศิษย์เดินทางรอนแรมลี้ภัยการเมืองอยู่กลางป่า พอได้เวลาอาหาร ลูกศิษย์เตรียมตักข้าว ใส่จานพร้อมสำรับอาหาร
ขณะกำลังตักข้าวอยู่ห่างๆ นั้น ท่านขงจื๊อสังเกตเห็นว่า ลูกศิษย์หยิบข้าวจากจานของท่านขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว ท่านจึงสอนและชี้ให้เห็นว่าการหยิบอาหารจากสำรับของครูบาอาจารย์มารับประทานก่อนได้รับอนุญาตนั้น แสดงถึงความ “อนารยะ” ที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์จึงขอโอกาสชี้แจง “อาจารย์ครับ ที่กระผมหยิบข้าวจากจานของอาจารย์ขึ้นมารับประทานก่อน หาใช่กระทำด้วยความเขลาหรือขาดคารวะก็หาไม่ แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในจานข้าวของอาจารย์ มีผงถ่านสีดำปนเปื้อนข้าวอยู่ ครั้นจะยกมาให้อาจารย์เลยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ จะหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นทิ้งก็เสียดาย เพราะข้าวหายากและจำเป็นมากสำหรับการอยู่รอดในยามวิกฤติ กระผมก็เลยหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นขึ้นมารับประทานเสียเองขอรับ”
แววตาที่ฉายแววดุของผู้เป็นอาจารย์ค่อยๆ ทอประกายอ่อนโยนด้วยเมตตา ก่อนเอ่ยวาจาขอโทษผู้เป็นศิษย์อย่างไม่ถือตัว
บ่อยครั้งที่เรามักตัดสินอะไรผิดพลาดอย่างง่ายดาย จนเสียทั้งคน เสียทั้งงาน และบางทีก็เสียผู้เสียคน เสียเกียรติภูมิที่สู้สั่งสมมาทั้งชีวิตในชั่วพริบตา เพียงเพราะเราเชื่อในสิ่งที่สายตารายงาน ขณะที่บางด้านของความจริงกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ไม่มีความเห็น