การเคี้ยวอาหาร คำคัญไฉน


บันทึกสาระสำคัญจากการเข้าร่วมอบรมเครือข่ายกลุ่มคนรักษ์สุขภาพของ สสส. ที่ทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดขึ้น และสร้างเครือข่ายบุคลากรของมหาวิทยาลัย เพื่อเสริมสร้างให้สุขภาพของบุคลากรให้แข็งแรง

 ดรีมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ข่าวกับโครงการนี้

ดรีม(คนเขียนข่าว)มีหลายเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญ แต่วันนี้ดรีมจะนำเรื่องที่เกี่ยวกับการรับประทานอาหารมาฝากก่อนนะคะเกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร สำคัญไฉน

 

เรื่องมีอยู่ว่าวิทยากรได้พูดถึง การบดเคี้ยวอาหารของคนเราปัจจุบันมีการเร่งรีบเป็นอย่างมาก ทำให้การบนเคี้ยวจากช่องปาก (โดยใช้ฟัน) ทำหน้าที่ไม่ครบกระบวนการ เคี้ยวเร็ว (คำนึงเคี้ยว2-3ครั้งคำกลืนลงคอ) ทำให้การย่อยอาหารทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ มีผลทำให้สุขภาพของเราเกิดอาการไม่สบาย และเจ็บป่วยได้

 

การจัดฝึกอบรมในครั้งนี้มีการตรวจสุขภาพด้วย โดยการเจาะเลือดเพื่อหาความสุขบูรณ์ของสุขภาพเราฟรีด้วย ผลการตรวจพบว่าคนส่วนใหญ่บางคนเม็ดเลือดไม่กระจายตัว เกาะกันเป็นกลุ่ม บางคนโปรตีนย่อยสลายไม่หมด บางคนก็มีเชื้อโรคบ้าง ฯลฯ

 

แต่ดรีมผลการเจาะเลือดคุณหมอบอกว่าสุขภาพดีคะเม็ดเลือดกระจายตัวสม่ำเสมอ เป็นผลจากการที่เราทานน้ำเพียงพอ และการบดเคียวอาหารของเราก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

 

สิ่งสำคัญคือพฤติกรรมในการรับประทานของคนในปัจจุบันมีผลต่อสุขภาพเราเป็นอย่างมากนะคะ อย่างไรก็ดีขอให้ดูแลตัวเองด้วยนะคะ

 

เดี๋ยวดรีมจะนำเรื่องที่ฟังจากการอบรมมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ เรื่องของคลื่นไมโครเวฟ และโทรศัพท์มือถือ

(>>_<<) บทความพิเศษเก็บมาฝากคะ

 

การเคี้ยวอาหาร

เคี้ยวมาก จะช่วยให้สมองปราดเปรียวมากขึ้น นักการเมืองชาวอังกฤษท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า อาหาร 1 คำ ต้องเคี้ยวอย่างน้อย 3-12 ที ไม่ว่าอาหารนั้นจะอ่อนแค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณไม่มีความอดทนขั้นนี้ ก็อย่าไปหวังว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้


มีอาจารย์ท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารตั้งแต่เด็ก สร้างความกลัดกลุ้มทรมานแก่เขามาก


หลังจากเขาทดลองเคี้ยวอาหารคำละ 100 ทีแล้ว ปรากฏว่า เขาหายจากโรคกระเพาะอาหารในเวลา 1 สัปดาห์


การเคี้ยวอาหารมิเพียงเกี่ยวกับสุขภาพเท่านั้น ยังเกี่ยวพันกับสมรรถนะของสมองอย่างแนบแน่นด้วย


การเคี้ยวอาหารจะกระตุ้นให้ต่อมน้ำลาย (SALIVARY GLAND)
และต่อมใต้หู (PAROTID GLAND) หลั่งฮอร์โมนออกมา
ขณะเดียวกัน อาการเคี้ยวซึ่งทำให้ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันก็จะกระตุ้นสมองใหญ่ด้วย


การกระตุ้นนี้จะทำให้สมองใหญ่ปราดเปรียวยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังแห่งการวินิจฉัย การขบคิดและสมาธิ
คนที่กินอาหารอ่อนนุ่มบ่อย ๆ หรือเคี้ยวอาหารไม่ค่อยได้หรือเคี้ยวน้อยไป สมองก็จะอ่อนแอด้วย


ข้างล่างนี้คือผลที่ได้จากการทดลองจำนวนทีที่เคี้ยวอาหารสำหรับประกอบการพิจารณา
ผู้ที่สนใจจะทดลองดูก็ได้


ผลที่ได้จากการเคี้ยวอาหาร


การเคี้ยวอาหาร 30 ที

ผลที่ได้จากการกินอาหารแต่ละคำ ควรเคี้ยวอย่างน้อยที่สุด 30 ที
จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง และช่วยรักษาอาการขี้หงุดหงิดจิตใจไม่สงบ


การเคี้ยวอาหาร 50 ที

 

จะช่วยลดการกลัดกลุ้มเจ้าอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดช่วยให้ลืมเรื่องไม่น่าอภิรมย์ได้ในเวลากินอาหาร
นอกจากนี้ ยังลดความอ้วนได้ เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำที่เกินจำเป็นถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย


การเคี้ยวอาหาร 60 ที


เหมาะสำหรับอาหารที่มีใยหรือกากมากหรือย่อยสลายลำบาก ช่วยลดอาการท้องผูก


กระตุ้นสมรรถนะของสมองใหญ่ ช่วยให้สมองแล่นมากขึ้น


การเคี้ยวอาหาร 80 ที


ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น สามารถจำแนกรสธรรมชาติและสารปรุงอาหารที่มีพิษในอาหารได้อย่างรวดเร็ว


นอกจากนี้ยังช่วยให้เลียนแบบสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น


การเคี้ยวอาหาร 100 ที


ช่วยให้หนักแน่นมากขึ้น สามารถวินิจฉัยและจัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างสงบเยือกเย็น


กินน้อยแต่ร่างการดูดซึมสารอาหารได้มาก นอกจากนี้ยังช่วยลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ หรือระคายต่อร่างกายได้ด้วย


การเคี้ยวอาหาร 150 ที


ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 150 ที ต่ออาหารหนึ่งคำ กระเพาะอาหารและลำไส้จะมีสมรรถนะสูงขึ้น


นอกจากนี้ ยังช่วยให้หายจากโรคเรื้อรังบางอย่างโดยไม่ต้องรักษา
ขณะเดียวกันก็ช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดังใจ


การเคี้ยวอาหาร 200 ที


ถ้ายืนหยัดเคี้ยว 200 ที ต่ออาหาร 1 คำได้ทุกมื้อแล้ว จะหายจากโรคกระเพาะเรื้อรัง และโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลอย่างรวดเร็ว


ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คาดการณ์และวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ได้แม่นยำมากขึ้น



ถ้าผู้ที่เป็นมารดาเอาแต่ป้อนอาหารที่อ่อนเหลวและมีคุณค่าอาหารค่อนค้างสม่ำเสมอแก่เด็กแล้ว


เด็กโตขึ้นก็จะติดนิสัยเลว ๆ ที่ชอบกลืนอาหารโดยไม่เคี้ยว และไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอิ่มในการกินอาหาร


ท้ายที่สุดก็จะติดความเคยชินชอบกินอาหารมากเกินไป นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กอ้วนเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน


เคยมีคนสำรวจเด็กอายุระหว่าง 1-5 ขวบ จำนวน 39,000 คน ผลปรากฏว่า


เด็กที่ขบเคี้ยวอาหารค่อนข้างแข็งไม่เป็นมีจำนวนถึง 550 คน พูดง่าย ๆ ก็คือ


เด็กทุก 75 คน จะมีเด็ก 1 คน ขบเคี้ยวอาหารไม่เป็น
อีกทั้งนี่เป็นปรากฏการณ์ทั่วไปในประเทศต่าง ๆ ของโลกทุกวันนี้



ผลการสำรวจของ ดร. ดับเบิลยู เอ พูลเลอรส์ นายแพทย์ชาวอเมริกันพบว่า


ชาวเอสกิโมและชาวอินเดียนามีอาการขากรรไกรล่างไม่แข็งแรง
เนื่องจากการกินอาหารกระป๋องและอาหารรสหวานมากไปเป็นเวลายาวนาน


ทั้งที่เดิมทีพวกเขามีฟัน เหงือกและขากรรไกรที่แข็งแรงมาก
เนื่องจากต้องเคี้ยวอาหารดั้งเดิมของพวกเขาซึ่งมักมีเอ็นเหนียวอยู่ด้วย


ถ้าเคี้ยวอาหารไม่ถูกหลัก มิเพียงจะทำให้ฟันผุเท่านั้น
แม้แต่สมอง อวัยวะภายใน เอว แขนขาก็จะพลอยได้รับผลกระทบอย่างหนัก


หนังสือโภชนาการชีวิตและความเสื่อมของร่างกายซึ่งเขียนโดยนายแพทย์ท่านหนึ่งได้เตือนผู้อ่านอย่างจริงใจว่า


ความเคยชินที่ไม่ถูกต้องในการกินอาหารทำให้เกิดโรคจิตและโรคในส่วนศีรษะได้ง่าย


ข้อความที่แฝงความหมายลึกซึ้งและจริงใจนี้มิได้ขยายความเกินจริงอย่างเด็ดขาด


นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่า การเคี้ยวมีสมรรถนะช่วยขจัดพิษด้วย

จาก คู่มือเตรียมความรู้สู่มหาวิทยาลัย, วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2540, หน้าที่ 5

คำสำคัญ (Tags): #สุขภาพ
หมายเลขบันทึก: 55591เขียนเมื่อ 24 ตุลาคม 2006 23:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 19:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอของคุณอาจารย์คนเขียนข่าว...

  • เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคำสอนของสมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถระ)... วัดราชบพิธ
  • ท่านแนะนำให้เคี้ยวช้าๆ... คำละ 35 ครั้ง

ถ้าทำได้ + กินธัญพืชที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ + ผัก + ผลไม้ + ลดเนื้อ ลดมัน ลดหวาน (ให้น้อย) > น่าจะดีกับสุขภาพมากครับ...

  • เรียนเสนอให้อ้างที่มา หรือเอกสารอ้างอิง (references) ด้วย > ผู้อ่านที่สนใจจะได้ค้นหาเพิ่มเติม ต่อยอดข้อคิด ข้อมูล หรือความรู้ได้ต่อไป
  • หายไปนานมากคิดถึง
  • รออ่านอีกครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท