ธรรมชาติยาตรา… การเดินเท้าอันศักดิ์สิทธิ์


การเดินธรรมชาติยาตราไม่มีความต้องการเอาชนะ เพราะเมื่อต้องการเอาชนะทำให้เกิดช่องว่าง มีเรามีเขาขึ้นมา เกิดความแบ่งแยกและขั้วคู่แห่งการแข่งขันขึ้นมา แต่เป็นปฏิบัติการเพื่อแผ่เมตตาและพรแห่งการมีชีวิตอยู่ เป็นการเดินเท้าที่มองเห็นว่าทุกชีวิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ธรรมชาติยาตรา… การเดินเท้าอันศักดิ์สิทธิ์       
แก้ไขโดย ณัฐฬส วังวิญญู    
Saturday, 26 August 2006 

เมื่อวานเป็นวันปีใหม่ที่พิเศษวันหนึ่ง
ไม่เหมือนปีอื่นๆ อาจเป็นเพราะสายตาเราเปลี่ยน
จิตใจเราเปลี่ยนกระมัง
 
เชียงรายเต็มไปด้วยหมอกไอยามเช้า
รวยละอองระยิบ นุ่มหนาไม่กรุ่นเกรงต่อไอแดด
ท้องฟ้าอวดสีฟ้า ระบัดระบายสีครามสว่างไสว
สีฟ้าอ่อนๆสัมผัสสายตา...เบาสบาย

กาลเวลาย่างก้าวช้าลง
ราวกับจะรอคอยผู้คนที่ยังคงหลับไหลในเตียงอุ่น
ให้ได้ตื่นขึ้นมายลโฉมอรุณรุ่งปีใหม่
ให้ไม่ต้องร้อนรน รีบเร่งที่จะริเริ่มกระทำการใดๆ
เหมือนกับกาลก่อกำเนิดจักรวาล
จากความว่าง
จากความไม่มีอะไร
มาสู่ความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปร
 
แม้จะสายแล้ว รถราก็ยังไม่ค่อยออกมาวิ่งมากนัก
ถนนว่างดีจัง  ผมขับรถปิ๊กอัพคู่หูนวยนาดไปตามท้องถนน
จากบ้านสวน...เข้าสู่เมือง
รถราอ้อยอิ่งตามโรงจอด และริมทาง
เมื่อคืน ผู้คนคงปาร์ตี้เคาท์ดาวน์กันน่าดู
ผมร่วมเคาท์ดาวน์กับเพื่อนๆที่จบโรงเรียนเดียวกัน
 
ความคิดคำนึงเกี่ยวกับปีที่ผ่านมาค่อยๆทะยอยเข้ามาในใจ
 
ก่อนสิ้นปี อ้ายไชยประเสริฐ ชายชาวปกาเกอญอโทรมาเล่าแรงบันดาลใจที่ได้จากการเดินเท้าไปกรุงเทพ พวกเขาไม่ได้เดินเพื่อเอาชนะใคร แต่เดินตามแรงศรัทธาของแผ่นดิน
ในความเอื้ออาทรและความผูกพัน เขาบอกผมว่า "แม้เราไม่ได้พรบ.ป่าชุมชน แต่เราได้ใจคนกรุงเทพหลายคน" เป็นคำบอกเล่าทางโทรศัพท์ด้วยเสียงกรั้วด้วยรอยยิ้มแฉ่ง

พะตีตะแยะ ลุงปกาเกอญออีกคนก็เล่าว่า มีคนมาสัมภาษณ์ว่า “ความยั่งยืน” ในความหมายของพะตีคืออะไร นักวิชาการมักใช้คำว่า ความยั่งยืนของการจัดการทรัพยากรธรรมชาตินั้นขึ้นต่ออะไร พะตีตอบว่า “ขึ้นอยู่กับความผูกพันระว่างคนกับป่า” เมื่อผูกพันก็ดูแล เมื่อดูแลก็ยั่งยืน เด็กปกาเกอญอเกิดมาทุกคน ผู้เป็นพ่อจะเอารกและสายสะดือไปผูกติดกับต้นไม้ ในป่าเดอปอ ป่าศักดิ์สิทธิ์ที่ขวัญของมนุษย์และธรรมชาติเชื่อมสัมพันธ์เป็นหนึ่ง

ราวๆเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมเดินธรรมชาติยาตรา  ปีนี้เป็นปีที่แนวคิดเรื่องสันติวิธีและมิติของวัฒนธรรมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ได้รับความสนใจจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน ในเรื่องการแสดงความปรารถนาพระราชบัญญัติป่าชุมชน ฉบับที่ชุมชนจะสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาดิน น้ำ ป่าอันเป็นนิเวศหรือบ้านหลังใหญ่ของสังคมไทยและสังคมโลก ดังที่ได้กระทำกันมาอย่างยาวนานในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา

ปีนี้การแสดงเจตจำนงค์ในทางนิเวศวิทยานี้ จะไม่กระทำออกมาจากความเกลียดชัง ความปรารถนาร้าย หรือความรู้สึกเป็นศัตรู  ไม่มีการเผาหุ่น ก่นด่า สาปแช่ง  ไม่เรียกร้องให้ได้ตามความต้องการของตน  หากเป็นปฏิบัติการแห่งกรุณาเพื่อคนทั้งประเทศอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อระบบนิเวศที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ เป็นสันติวิธีตรงที่เป็นการทำงานกับตัวเอง ทั้งความรัก ความปรารถนาดีและความกลัว 

บางคนบอกว่าการเดินนี้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย ลุงชาวลำปางคนหนึ่งบอกว่าการนั่งอยู่บ้านเฉยๆ มันก็ต้องแก่ตายสักวันหนึ่ง เพราะตอนนี้ก็อายุหกสิบกว่าเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าวันตายจะมาถึงเมื่อใด แต่ยังพอมีเรี่ยวแรงเดินได้ จึงขอเดินดีกว่ารอตายอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยก็ทิ้งเรื่องราววีรกรรมไว้ให้ลูกหลานได้พูดถึงในวันข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจได้บ้าง

ปีนี้ การเดินธรรมชาติยาตราไม่มีความต้องการเอาชนะ  เพราะเมื่อต้องการเอาชนะทำให้เกิดช่องว่าง มีเรามีเขาขึ้นมา  เกิดความแบ่งแยกและขั้วคู่แห่งการแข่งขันขึ้นมา  แต่เป็นปฏิบัติการเพื่อแผ่เมตตาและพรแห่งการมีชีวิตอยู่ เป็นการเดินเท้าที่มองเห็นว่าทุกชีวิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

หากมองอย่างผิวเผิน หลายคนอาจคิดไปว่า บรรดาผู้คนเหล่านี้มาเดินเพื่ออะไร จะได้อะไร บางทีเรามักจะประเมินคุณค่าของสิ่งที่เราทำที่ผลที่จะออกมา มักจะมองเรื่องคุ้มหรือไม่คุ้มเป็นเชิงประสิทธิภาพไปเสียหมด ผมกลับคิดว่า เวลาเราทำสิ่งที่รู้สึกว่าถูกต้อง โดยคนอื่นอาจไม่เห็นด้วยกับเรา แต่มันเป็นเสียงพร่ำร้องภายใจลึกๆของเรา มันอาจไม่ส่งผลให้เห็นชัดเจน แต่มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่การกระทำเสมอ

มิเชล เพื่อนชาวฮอลแลนด์ที่พำนักอยู่ที่ศูนย์อนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ บอกว่า เขานับถือคนเล็กคนน้อยที่ไม่ปล่อยให้ชีวิตของตัวเองนำพาไปด้วยความรู้สึกที่ต้องจำนนต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นในสังคม การเดินเท้าของคนที่ไม่มีทางเลือกหรือสิทธิพิเศษอย่างที่คนอื่นมีกันมากมายนั้นแสดงถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่งที่งดงาม

พฤ (พรึ) ชายปกาเกอญอวัย ๓๔ ต้องเผชิญหน้ากับคำถามมากมายของตัวเอง ว่าสันติวิธีนั้นมีหัวใจหรือแก่นสารอยู่ที่ไหน พฤ เป็นปกาเกอญอที่ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการตั้งคำถามอย่างจริงใจ คำถามบางคำถามของเขาดูเรียบง่าย แต่อาจทำให้ผู้ถูกถามต้องผงะงงไปได้เหมือนกัน มาคราวนี้ การเดินเท้าทำให้เกิดคำถามมากมายในใจ เราได้มีเวลาพูดคุยกันบ้าง เป็นคำถามที่ผมเองก็อาจไม่มีคำตอบใดๆ เช่น สันติวิธีเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับกระบวนการต่อสู้ภาคประชาชนหรือไม่ แทนที่จะเป็นวิธีคิดและแนวปฏิบัติทั้งหมดของขบวนการ  หรือ  ในเรื่องมิติของความศักดิ์สิทธิ์ ทำไมปฏิบัติการทางกาย เช่นการเดินเท้า ธรรมชาติยาตรานี้มีมิติของความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร หลังจากที่ผมตั้งข้อสังเกตให้เขาฟังว่า กายกรรมนี้เองที่เป็นการแสดงถึงมโนกรรมอันแกล้วกร้า มิใช่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางกายอย่างไรความหมาย หรือเป็นไปเพียงเพื่ออัตตาตัวตนของเราเอง

ตอนที่ผมไปภาวนาอดอาหารอยู่วิเวกในทะเลทรายแถว แคนยอนด์แลนด์นั้น ในขณะที่นั่งชมตะวันตกดินในวันที่สามของการอด ท้องฟ้าเป็นสีทอง ริ้วเมฆระบัดสีแดงส้มสดสวย
อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อง แต่ยังเบาสบาย ผมมองออกไปไกลสุดขอบฟ้า จากก้อนหินใหญ่ที่นั่งอยู่ ในช่วงที่เหตุปัจจัยต่างๆประกอบกันอย่างถึงพร้อมนั้น เกิดความคิดว่า ผมคือชนเผ่าที่นั่งมองความงามของแผ่นดินและจักรวาลมายาวนาน ชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ผ่านไป การที่ผมเกิดมาเป็นคนเมืองที่ปลูกข้าวไม่เป็น เรียกชื่อต้นไม้ใบหญ้าไม่ถูกนั้น หาได้ทำลายสัมพันธภาพที่ผมมีต่อโลกใบนี้ลง ผมยังมีศักยภาพในการเยียวยาโลกและตัวผมเองได้เสมอ ผมไม่ควรมองตัวเองต่ำเกิน แล้วยกภาระหน้าที่ไปให้เพื่อนพี่น้องที่เป็นชนเผ่าแต่ฝ่ายเดียว ผมควรรับรู้ความรักที่ผมมีต่อโลกและแผ่นดินนี้อย่างไม่ต้องลังเลสงสัย แล้วยอมให้ความรักและความผูกพันนี้สำแดงออกมาเป็นปฏิบัติการต่างๆอย่างเปี่ยมพลัง

Doing the right thing is sometimes more important than doing things right.

พรแห่งอดีต คือมรดกแห่งนิเวศวิทยา ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีวิตน้อยใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิต ที่ได้สืบทอดมาสู่ปัจจุบัน รวมทั้งภูมิปัญญาทั้งหลายที่เป็นปัญญาอันเกิดจาก
พื้นภูมิและบรรพชนของพวกเราทั้งหลาย

พรแห่งปัจจุบัน คือความมุ่งมั่นในการดูแลรักษา ความมีชีวิตของระบบนิเวศอันเป็นประธานแห่งชีวิตทั้งมวล คือความศรัธทราที่มีต่อข้าวมากกว่าเงินตรา

พรแห่งอนาคต คือดุลยภาพที่สังคมมนุษย์จะพึงมีกับสังคมหรือนิเวศแห่งธรรมชาติ ในสัมพันธภาพที่เท่าเทียมและเคารพ ดังจะเป็นหลักประกันสำคัญในการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทั้งนี้ โลกนั้นเป็นระบบมีชีวิตที่มีกระบวนการรับรู้และจัดการตัวเองได้อย่างน่าประหลาดใจ

พรจากแรงบันดาลใจของการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า “เราไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีกันและกัน และยิ่งยากนักที่จะอยู่โดยปราศจากความรักในตนเองและผู้อื่น  ก้าวแรกของการเยียวยาโลกือการเดินไปสู่ความงามภายใน’เธอ’ ด้วยการดูความงามในหัวใจเธอเอง ให้อภัยความคิดที่มาบดบังไฟแห่งปัญญาที่แท้ในดวงจิตเธอและแก้ไขความคิดเหล่านั้นให้ถูกต้องเสีย...จงนั่งลงสักครู่แล้วเฝ้าดู เราเรียกการทำเช่นนี้ว่า การค้นหานิมิต เราอาจนั่งอยู่หลายวัน นานเท่าที่จะทำให้สันติสุขกลับคืนมาสู่หัวใจเรา”

ปีนี้คือปีแห่งการสร้างพลังแห่งความอ่อนโยน
แปรทุกข์เป็นเมตตา
แปรความกลัวเป็นความศรัทธา


ปาจารยสาร ฉบับสิกขาปริทัศน์ ฉบับที่ ๔  ปีที่ ๑ : :  มกราคม  - กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ 
 www.semsikkha.org

คำสำคัญ (Tags): #จิตวิวัฒน์
หมายเลขบันทึก: 55516เขียนเมื่อ 24 ตุลาคม 2006 13:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:09 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ผมอ่านแล้วเกิดความคิดที่ดี ๆหลายอย่างครับ

โดยเฉพาะเกี่ยวกับธรรมชาติ...เชียงรายที่เคยมาเที่ยว

ขอบคุณครับ

  • ลมุลอารมณ์ จรรโลงใจมากค่ะ

ขอบคุณครับจะพยายามหาบทความดีมาให้อ่าน

                   supat

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท