ดิฉันเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิชาเอกภาษาเกาหลี ได้ร่วมกับเพื่อนนิสิตในสาขาจัดทำโครงการที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่รุ่นแรก (พ.ศ. 2555) ของโครงการนี้
พวกเราได้ทำโครงการนี้ที่องค์การบริหารตำบลเลิงแฝก อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม
ความรู้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของมนุษย์ เพราะการที่เรามีความรู้นั้นแน่นอนกว่าสมบัติที่ติดตัวเราโดยที่ไม่สามารถหลุดหายไปไหนได้ แต่เราจะมีความรู้ได้นั้น เราต้องแสวงหาความรู้ และทั้งนี้ทั้งนั้น ในสังคมปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายยิ่งกว่าในสมัยก่อน คือการกำหนดขอบเขตการเรียนรู้ เฉพาะปัญหาจุดเล็กๆ และจุดที่ถูกระเบิดจากภายในหมู่บ้าน หรือสังคม เช่น เด็กๆ หรือเยาวชนที่ถูกทอดทิ้ง ปัญหายาเสพติด โดยสาเหตุมาจากฐานะครอบครัวความยากจน จึงยากที่จะเห็นเยาวชนเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้จากทรัพย์ที่มีไม่มากพอ กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เยาวชนขาดการเรียนรู้
นั่นจึงเป็นแรงจูงใจที่เราคิดโครงการขึ้นมา เพื่อพัฒนาขีดความสามารถและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้ให้กับผู้ที่ขาดโอกาสในการแสวงหาความรู้ตามความรู้ที่เราได้รับมา โดยเน้นการเผยแพร่ความรู้ให้ได้มากที่สุด
สิ่งที่เราได้ทำคือ การร่างโครงการให้เป็นรูปเป็นร่างเพื่อให้สมาชิกในโครงการเข้าใจให้ได้มากที่สุด รวมถึงแผนการดำเนินงานที่เราต้องลงมือปฏิบัติ ว่าจะให้ออกมาในรูปแบบใด โดยสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงและสมาชิกต่างเข้าใจในจุดประสงค์ที่เราได้วางไว้ก็หนีไม่พ้นการแบ่งหน้าที่ให้แก่สมาชิก หรือทีมงานที่ทำงานร่วมกัน
การแบ่งงานนั้น สิ่งที่เป็นตัวกำหนดก็คือ แบ่งตาม “ความถนัด” ของแต่ละคน ซึ่งช่วยทำให้มองออกชัดเจนว่า แต่ละคนมีความถนัดแตกต่างกัน นอกจากนั้นยังคำนึงถึงเรื่องแผนการใช้งบประมาณ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้ได้มากที่สุด ทั้งในเรื่องวัสดุอุปกรณ์ และอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างกระบวนการศักยภาพการเรียนรู้ร่วมกัน
อย่างไรก็ดี ในฐานะที่เราศึกษาเกี่ยวกับด้าน “ภาษาเกาหลี” สิ่งที่เราเลือกจะทำย่อมหลีกไม่พ้นเรื่องการเผยแพร่ความรู้ภาษาที่เราได้ศึกษามา โดยเผยแพร่ให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรมในหมู่บ้านชนบท
การดำเนินการนั้น เมื่อเราได้กำหนดจุดเริ่มต้น นั่นก็คือการวางแผนโครงการเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อไม่พบปัญหาใดๆ เราจึงเริ่มดำเนินการลงมือปฏิบัติตามแผนที่เราได้ร่างไว้ โดยสิ่งแรกสิ่งแรกที่เราได้ลงมือทำคือการ “เก็บข้อมูลหมู่บ้าน” ซึ่งพบว่าในละแวกอำเภอกุดรัง ตำบลเลิงแฝกเป็นชุมชนที่ประชากรเดินทางไปทำงานยังประเทศเกาหลีมากที่สุดเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้เราจึงลงความเห็นว่า ชุมชนเลิงแฝกนี่แหละเหมาะสำหรับการจัดโครงการของเรา ดังนั้นเราจึงเริ่มลงมือสำรวจข้อมูลชุมชนแบบเข้มข้นและจริงจัง
เมื่อทราบข้อมูลชุมชนและได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผู้สนใจที่จะเข้าร่วมกิจกรรมแล้ว เราจึงเริ่มทำเอกสารหรือสื่อการเรียนรู้และลงมือจัดกิจกรรมตามแผนที่จัดเตรียมไว้ โดยเริ่มจากการปูพื้นฐานขั้นต้นในการเรียนภาษาเกาหลี ซึ่งเรามีกระบวนการประเมิน หรือสอบวัดผลทักษะของผู้เรียนก่อน เพื่อดูถึงพัฒนาการของผู้เรียน มีการแบ่งห้องเรียนออกเป็นห้องเรียนสำหรับผู้ใหญ่และห้องเรียนสำหรับเด็กเล็ก
และเมื่อถึงเวลาของการปฏิบัติจริง ทำให้เราเห็นถึงจุดบกพร่อง หรือปัญหาในการทำงานหลายอย่าง เช่น ห้องของเด็กจะมีเด็กจำนวนมาก จนเราต้องจัดประชุมกับทีมงาน เพื่อหารือว่าจะแก้ไขในจุดนี้อย่างไร และแน่นอนว่าเด็กส่วนมากจะอยู่ในวัยที่ควบคุมได้ยาก ทำให้เราต้องออกแบบวิธีการในการควบคุมเด็กๆ ให้อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่ใช่แต่เพียงปัญหานี้เท่านั้น ยังมีปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย และวิธีการขับเคลื่อนให้โครงการดำเนินการต่อไปก็คือ “ประชุมหารือ” และการ “รับฟังความคิดเห็น” ของเหล่าสมาชิกทุกๆ คนนั่นเอง
ปัญหาในการทำงานนั้น งานทุกอย่างย่อมต้องมีเสมอ เพราะปัญหาจะเป็นเหมือนกับกำแพงที่เราต้องพังทลายลงไปให้ได้ ในการสอนของเราก็พบปัญหาไม่น้อยเช่นกัน เช่นพอดำเนินการได้ระยะหนึ่ง จำนวนผู้ที่มาเรียนรู้จากเราก็น้อยลงๆ สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงในจุดนี้ก็คือการอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจและมองเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ที่พวกเราได้นำมาเผยแพร่ว่าเมื่อเรียนรู้ร่วมกันแล้วจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้อย่างไรให้สัมพันธ์กันระหว่างความรู้ที่ได้รับมาและงานที่จะทำ
ในการทำงานตรงนี้เราต้องเข้าถึงชาวบ้านให้ได้มากขึ้น เราจึงต้องประชุมออกแบบวิธีการลงชุมชนเพื่อให้เข้าถึงชาวบ้าน เพราะแน่นอนว่าเป็นบุคคลที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน การทำให้ชาวบ้านยอม “เปิดใจ” ออกมาอย่างเป็นกันเองให้ได้มากที่สุดจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และท้าทายสำหรับพวกเรา ซึ่งในที่สุดเราก็ค้นพบว่าการ “พูดคุยอย่างเป็นกันเอง” และความ “จริงใจ” นี่แหละคือทางออกของเรื่องเหล่านี้
นอกจากนี้เรื่อง “เวลา” ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญ กล่าวคือเวลาที่ไม่ตรงกันของชาวบ้านและพวกเรา ทำการจัดกิจกรรมชะงักไปบ้าง จนเราต้องมาคุยกันถึงการแบ่งเวลาเพื่อให้มีเวลาที่ตรงกันกับชาวบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะไหนต้องเรียนไหนต้องลงชุมชน จึงต้องจัดสรรเวลาให้ได้ดีที่สุด เช่นเดียวกับชาวบ้านบ่อยครั้งก็เข้ามาเรียนในชั้นเรียนช้าบ้าง เพราะมีภารกิจทางบ้าน พวกเราจึงต้องยืดหยุ่นเวลา สร้างความสมดุลกันทั้งสองฝ่าย เพื่อเอื้อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการ “เรียนรู้คู่บริการ”
และนอกจากนี้ยังพบปัญหาอื่นๆ อีก เช่น กลุ่มผู้เรียนที่เป็นเด็กเล็กเข้ามาเรียนรู้กับเราเป็นจำนวนมาก จนเราต้องปรับแผนด้วยการแบ่งห้องเรียนออกเป็น 2 ห้องเรียน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเมื่อผู้เรียนเป็นเด็กเล็ก ก็จำต้องออกแบบวิธีการเรียนการสอนให้เด็กๆ เกิดความสนใจ ไม่เบื่อ เราจึงแทรกกิจกรรมสันทนาเข้ามาเป็นระยะๆ มีเกมส์ให้เด็กได้เล่น เป็นเกมส์ที่ยังคงเกี่ยวกับภาษาเช่นเดิม เรียกว่าเปลี่ยนวิธีการสอนมาเป็นแบบที่ไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย เสมือนว่า “เรียนๆเล่นๆ”สร้างความสุขทั้งพวกเราและผู้เรียน
เหนือสิ่งอื่นใด จากการที่เรามีการกำหนดหน้าที่งานให้กันและกันตามความถนัด หรือความสมัครใจ รวมถึงการมีแผนงานที่ชัดเจน มีการจัดการแบบมีส่วนร่วม หรือการ “ร่วมด้วยช่วยกัน” และการประชุมประเมินผลอย่างต่อเนื่องในแต่ละกิจกรรม ทำให้โครงการประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งผลการประเมินจึงอยู่ในระดับดีมาก
นอกจากนี้ การร่วมมือของสมาชิกอันเป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วม รักและสามัคคีกัน ตลอดจนความกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนที่มุมานะในการเผยแพร่ความรู้แก่ชาวบ้าน ก็เป็นหนทางสู่ความสำเร็จอีกเช่นกัน
และกรณีการจัดการที่ดีนั้น เราพบว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่มีรู้ความสามารถและความใส่ใจต่อกิจกรรม รวมถึงต้องอาศัยความร่วมมือจากชาวบ้านในทุกเรื่อง โดยเฉพาะชาวบ้านกลุ่มที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่ยังช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนอื่นๆ ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับพวกเราอย่างต่อเนื่อง
ในการทำโครงงานครั้งนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้คำว่าการ “พึ่งพาอาศัยกัน” เป็นหัวใจของการใช้ชีวิต มนุษย์เราไม่สามารถที่จะอยู่คนเดียวได้ โดยเฉพาะในการทำงานที่ต้องมีหลากหลายทางความคิดเห็น จึงย่อมมีความแตกต่างและขัดแย้งกันเป็นธรรมดา หากแต่เมื่อเปิดใจและคำนึงถึงปลายทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ก็เป็นจุดผ่อนคลายและหลอมรวมผู้คนเข้าหากันได้ในที่สุด
เช่นเดียวกับนิสิตนั้น พวกเราได้เห็นถึงการพัฒนาการการเรียนรู้ของเราเอง การนำความรู้ในชั้นเรียนของมหาวิทยาลัยฯ ไปใช้ประโยชน์ด้วยการลงพื้นที่ถ่ายทอดให้กับชุมชนเป็นเสมือนการทบทวนความรู้ของตัวเราไปในตัว ทำให้เราเข้าใจถึงบทเรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ความรู้ในทางวิชาการเท่านั้น แต่หมายถึงความรู้ในการใช้ชีวิตดีๆ นั่นเอง
การเข้าร่วมโครงการนี้จึงถือเป็นการเรียนรู้ที่ทำให้เราเติบโตทั้งกาย ใจ วิญญาณ และสังคมพร้อมๆ กัน
ผู้เขียน : นางสาววฐิตา แสงอินทร์คุ้ม และเพื่อนจำนวน 11 คน
สาขา : ภาษาเกาหลี คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
โครงการ : การพัฒนาขีดความสามารถและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ใช้แรงงานภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลเลิงแฝก อำเภอกุดรัง จังหวัดมหาสารคาม
หัวหน้าโครงการ : อาจารย์กนกกุล มาเวียง
แค่เห็นภาพก็มีความสุข
นิสิตเขียนเก่งมากน่าชื่นชม
ขอบคุณมากๆครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะคะ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
กำลังรวมเล่มเป็นเรื่องเล่าของนิสิตครับ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ-สื่อการเรียนรู้ในระบบการเรียนการสอน หรือการทำกิจกรรมนอกชั้นเรียน...
ไว้เสร็จแล้ว จะส่งไปให้ นะครับ
สวัสดีครับ พี่มนัสดา
อากาศเย็น หรือร้อนๆ สลับกันไปมา
ยังไงๆ รักษาสุขภาพ นะครับ