ประชาธิปไตยของฉัน


วันนี้อยากบันทึกความในใจไม่ได้ไปเย้วๆกับใครที่ไหน เพราะเราต้องทำงานต้องรับผิดชอบงานที่เราทำ

ก็ได้แต่สงสัยเหมือนกันว่าชาวบ้านที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ลูกหลานยังลำบากทำไมจึงมีความเสียสละสูงมากๆ น่านับถือจริง

ไปร่วมกิจกรรมตามท้องถนนแล้วเอาอะไรกิน ลูกหลานกินอยู่อย่างไร หรือเขามีเงินทองเก็บไว้มากเพื่อการเสียสละโดยเฉพาะ

หยุดทำงานได้เป็น 5-10 วัน ทั้งๆที่ชีวิตต้องหาเช้ากินค่ำแบบไม่ค่อยจะเพียงพอเลย

เพื่ออะไรก็ยังหาคนตอบไม่ชัดเจนเพราะไม่ว่าจะทำอะไร....หรือแม้ขัดขืนไม่ทำตามก็ต้องทำมาหากิน

ต้องใช้หรือว่าเขาไม่กินไม่ใช้อะไร หรือน้ำไม่ต้องกิน ข้าวไม่ต้องกิน

ไม่เจ็บป่วยให้ทางราชการต้องลำบากกายใผู้อื่นต้องเป็นธุระหรือไร หรืออะไร

แต่ฉันต้องทำงานแม้จะไม่มีเงินเดือนแต่ฉันก็ต้องทำเพื่อพัฒนาจิตใจเรียนรู้ตนเองจากความไม่เที่ยง

ฉันอยากไปดูไปเห็นด้วยบางครั้งจิตใจมันตื่นเป็นม้าก็ตาม

อดีตฉันเคยอยู่กับการร่วมกิจกรรมเดินขบวนต่อต้านมาแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป

เรารู้สึกละอายใจที่ทำร้ายคนที่ยืนอยู่ข้างๆหลายคนเราเคยขับไล่ปู่ย่าตายายของเขาอย่างหมูหมากาไก่

แต่ปัจจุบันเลูกหลานเขาเป็นคนดีไม่ใช่ผู้ร้าย หรือคนทุศีล ทำให้ได้สติคิดว่า นี่ไงมนุษย์

และฉันไม่มีปัจจัยเพียงพอที่จะใช้จ่ายเกินจากวิถีชีวิตประจำวันเช่นประชาชนผู้เสียสละทั่วไป

หากฉันจะัเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรกับคนกลุ่มใด

แต่ฉันรู้ว่าฉันควรมีส่วนร่วมในเวลาใด สภาวะใด และหรือแบบไหน

และหากต้องไปอยู่ตรงนั้นฉันต้องหาซื้ออาหาร และน้ำคงมิใช่เพื่อตัวเองเท่านั้น 

สมัยเด็กๆก็ใช้เงินพ่อแม่นี่แหละทำกิจกรรมนักศึกษา และให้เป็นภาระของรุ่นพี่ให้หาน้ำหาข้าวให้กิน

รุ่นพี่ก็ใช้เงินพ่อแม่ เงินทางบ้านของเขามาดูแลพวกเรา พอไม่มีก็พึ่งวัด แล้วซบซานกลับบ้าน...

ก็ไม่อยากไปพูดถึงอดีตของการเรียกร้องความเป็นธรรม เป็นอะไรๆ  ที่ท้ายที่สุดมันก็จะดำเนินไปตามกรรมของมันเอง

มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นประวัติศาสตร์เช่นที่มันเป็น เพียงแต่รูปแบบ กรรมวิธี กลยุทธ์เปลี่ยนไป แต่มันก็เป็นเช่นที่เป็นอยู่ 

มีคนถามว่าทำไมไม่อินหละ มีอะไรก็เป่าเข้าไป ฉันก็ถามว่าเป่าทำไม ก็ตอบฉันไม่ได้ งั้นคงแอบเชียร์ใครอยู่ละซี 

ฉันก็ตอบว่าต้องมีสติที่จะกล่าวหาผู้อื่นต้องรู้ตัวก่อนว่าทำอะไรอยู่ ทำทำไม ก็ตอบว่าไม่รู้ซิก็ทำตามๆจะได้ไม่ตกเทรนด์

หรือได้คำตอบว่าก็มัน......มัน....มัน.... ฉันฟังไปก็ได้มาหลายมันอิอิ แต่ก็ทิ้งไว้กับคนพูดให้ฟังนั่นแหละป่านนี้คงมันจริงๆ

เพราะไม่มาชวนอีกเลย เยอะๆๆๆฟังแล้วไม่มีดีก็ปิดหูเพราะไม่มีประโยชน์ เพราะฉันไม่จำเป็นต้องใช้มัน

ฉันเรียนรู้และค้นหาข้อมูลต่างๆได้ด้วยตนเอง ทำไมต้องให้ใครๆ ซื่อๆมาจูงจมูกให้เฮไปเฮมา

ก็อยากบอกว่า เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้เบื่อ เพราะฉันเคยผ่านมันมาแล้ว

ท้ายที่สุดก็อย่างที่ผ่านมาปรากฏข้อเท็จจริงแม้จะไม่เต็มร้อยก็เถอะ มีทั้งที่ถูกบันทึกไว้และไม่ได้บันทึกไว้

ที่หลบๆซ่อนๆก็เยอะกว่าจะได้ปรากฏความจริงคนรุ่นฉันก็ตายจากไปมากมีแล้ว

ไม่มีประโยชน์จะไปฟื้นหาความจริงตามที่พระท่านสอนไว้ เวลามันผ่านไปๆ

หากมัวพูดแต่ความหลังที่มันล้มเหลวหรือแม้ความไม่ล้มเหลว

จะมีประโยชน์อะไร สู้เดินหน้าทำในสิ่งที่ดีที่ควรแก่อนาคต

เริ่มต้นใหม่ได้ทุกวินาทีมิใช่หรือ ความเจ็บแค้นก็รังแต่จะทำลายสุขภาพตนเอง

คนรักกันดีๆพอขาดสติก็แยกไม่ออก กลายเป็นคนละพวกคนละก๊กมันน่าเวียนหัว

แล้วก็ไม่โทษตัวเองหรอกแต่กลับไปโทษคนอื่น นี่เพราะขาดความละอายใจ

ไม่เกรงกลัวต่อบาป ปัญหาัมันจึงเกิดขึ้น ไม่ยอมรับตัวเองรับความจริง

บ้างก็เลี่ยงบาลี ทุศีล หยาบคาย ก็เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเอง เคารพนับถือ

หวังเพียงได้กราบไหว้ขอพรจากผู้อื่น แต่ไม่ให้พรตัวเอง ให้ด้วยการทำความดี มีสติ อดทนอดกลั้น

เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้วก็สบาย

ไม่เดือดร้อนใครๆ

แต่อดีตมันก็สอนว่า"ท้ายที่สุดเมื่อผลประโยชน์ลงตัว ยอมรับกันและกัน ก็ค่อยๆอ่อนลง  

ถ้อยทีถ้อยอาศัยก็จบแบบประชาธิปไตยบ้านเรา" เมื่อใดที่ผลประโยชน์นำหน้า

รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะด้อยลงๆ กำลังจะเสียผลประโยชน์ หรือผลที่ได้น้อยไปๆ

ก็จะเกิดขึ้นอีกเป็นเช่นนี้กี่..นานเท่าไหร่แล้ว...

ประชาธิปไตยในบ้านฉันให้และเคารพ อิสระทางความคิดและการกระทำ

เมื่ออยากเสนออะไรก็เสนอหากเห็นพ้องก้โอเคดำเนินการทันที

หากยังติดขัดไม่เห็นต้องกัน หรือมีเหตุอันใดก็ต่างฝ่ายต่างนิ่งเสีย ทำเรื่องอื่นกันไปก่อน

และไม่เร่งรัดคำตอบ ปล่อยให้ไฟกิเลสตัณหามันมอดก็บ่อยเพื่อให้ได้มีเวลาใคร่ครวญ

และที่ทำทันควันก็มากเพราะมันสะใจ รู้สึกมันดีนะชีวิตนี้...ก็แค่นั้นแหละ

หากได้พิจารณาย้อนไปก็นึกเสียดายเวลาที่บ้าระห่ำทันควันนี่แหละก็ใช่ว่าจะไม่มี

ที่อืดอาดยืดยาดก็เยอะ หาความพอดีๆๆๆก็ไม่ค่อยเจอ จนเสียหายไปก็มี

ก็จะได้แต่พูดว่าเสียดาย แล้วก็ตัดใจไม่มีประโยชน์ที่จะไปเอื้อนเอ่ยสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้เสียเวลา

ก็คิดใหม่ทำใหม่ หากครอบครัวใหญ่ จะทำอะไรมันก็ช้าอุ้ยอ้ายไม่ทันใจขาโจ๋ ก็ต้องเข้าใจ 

แต่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ แยกกันทำแต่แนวเดียวกัน นโยบายเดียวกัน

อย่าทะลึ่งออกนอกทางด้วยเจตนาแอบแฝงมันก็จะประััเปลี่ยนและพัฒนาอะไรๆแฝงประโยชน์เฉพาะตนก็เป็นเรื่องอีก

สังคมมนุษย์นี่ยังไม่ใช่สังคมยุคที่เราฝันถึง ยังมีความรัก ความต้องการ มีกิเลสตัณหามีความไม่พอเพียงมาก

กว่าสังคมที่พร้อมแล้ว 80/20 เปอร์เซ็นต์ก็น่าจะเป็นไปด้โดยคราวๆ เพื่อบอกว่าคนจนมีมากกว่าคนรวย

การผันเงินด้วยกลยุทธ์ใดก็ตาม หากคนจนได้รับก็จะผันทันที แต่เมื่อศึกษาลึกๆ

จะเห็นว่าแท้จริงเราหาได้นำเงินจำนวนนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงที่จำเป็นกับชีวิตจริงไได้ร้อยเปอร์เว็นต์ไม่

หลายๆชีวิตเห็นเป็นความสุข เป็นโอกาสที่จะได้ใช้มันเพื่อตอบสนองกิเลสไปก็มาก

ดังนั้นผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในรูปใดของการจับจ่ายจึงตกแต่นายทุนเพียงผู้เดียวอย่างแท้จริง

ดังนั้น 20 % นั้นจึงหมายถึงความสุขของกลุ่มทุนที่ได้รับจากกลุ่ม80%

มันก็มากนะมากจนเราไม่อาจหนีคำว่ายากจนไปไหนได้ แต่ก็ยังมีทางออกที่จะไม่ตกอยู่ใน 80% หรือ20%

คือการผันชีวิตตัวเอง และครอบครัวอยู่ในเส้นทางวิธีธรรม วิถีเศรษฐกิจพอเพียง

ซึ่งไม่มีโอกาสทำร้ายสิ่งแวดล้อมหรือใครได้เลย จึงเป็นวิถีแห่งพุทธะที่นำความสุข

และความเป็นประชาธิปไตยมาสู่ครอบครัวอย่างแท้จริง

สำคัญที่ตัวเองนั่นแหละ ตัวเราเองตัวตนของแต่ละจิตวิญญาณนั่นแหละตัวดี กิเลส หนา อัตตาสูง

ก็จะมีเหตุให้สะดุดบ้าง จึงต้องหาต่อไป ปรับกันไป ทบทวนกันไป สร้างสรรค์ความคิดบวกมองบวก ครอบครัวก็สุข

เพราะประชาธิปไตยในบ้านฉันๆและสมาชิกกำหนดกันขึ้นมาเอง

เราจึงมีสิทธิ์มีเสียงถ้อยทีถ้อยอาศัย มีผลประโยชน์ร่วมกัน มีความรัก ความเอื้ออาทร และแบ่งปันให้กันและกัน

ไม่ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ แต่หากจะถามว่าเท่าๆกันเสมอไปไหม ธรรมชาติมันก็บอกอยู่แล้ว

ว่าการดำรงชีวิตร่วมกันต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย เพราะชีวิตไม่ใช่สินค้าที่ต้องใช้ตาชั่ง

คนสมัยทวดเขาอยู่กันแบบมีความสุข ดั่งชาวสวนหาบผักไปแลกเกลือกับคนทะเล ก็ใช่ว่าต้องให้น้ำหนักเท่ากัน

หรือคนดอยแบกกระสอบของป่าออกมาจากป่า มาแลกเสื้อผ้า ของใช้กับคนเมือง

ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของกันและกัน 

ยุคสมัยนี้มีคำว่าผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง จนถึงกับทำลายล้างชีวิตกันไปเลย

อย่างนี้ก็ให้เสียดายที่ได้เกิดมาเป็นคน

ความพึงพอใจ ความพอดีๆ พอเพียงจึงเป็นคุณสมบัติของปู่ย่าตายายที่ให้ไว้

 

ให้ใช้พอประมาณ อย่าไปหลงใหลอะไรที่มันเกินตัวมันจะทุกข์ใจเสียเปล่า

เพราะท่านเห็นว่ามันนำความสุขมาให้เราได้และให้ได้ทุกข์น้อยลง

ที่ไหน หรือใครเขานำความสุข ความสบายมาแบ่งปันก็ให้รู้จักตอบแทนกันบ้าง

รู้จักรับแล้วก็ต้องรู้จักให้ตอบแทนอย่างมีสติ และยึกมั่นในความถูกต้องมีคุณธรรม

อย่าไปคิดเปรียบเทียบน้ำหนักระหว่างการรับและการให้ มันจะกลายเป็นความทุกข์ใจในที่สุด

ครอบครัวเล็กๆยังพอไหว ครอบครัวใหญ่ๆก็ต้องการเนื้อที่มาก เพื่อให้ได้แบ่างปันความสุข ความทุกข์กัน

สายใยแห่งความเป็นครอบครัวเดียวกันก็ตัดไม่ขาด ไม่ถึงขั้นจะล้างผลาญกันทั้งโคตรตระกูล

ประชาธิปไตยในบ้านของฉันจึงโชคดีที่มีความสุขมากกว่าทุกข์

การเลือกหัวหน้าครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากหัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ขาดศีลแล้ว

ครอบครัวจะมีความสุขเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร

ครอบครัวคือสถาบันหลักที่จะนำพาสมาชิกให้มีชีวิตบนฐานแห่งความมั่นคง

ความถึงพร้อมที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างเข้าใจและมีความสุขร่วมกันกับสังคม

และครอบครัวจะมีความสุขได้สมาชิกครอบครัวก็ต้องมีศีลมีธรรม มีความเป็นประชาธิปไตย

คนมีศีลมีธรรมจะมีจำนวนมากน้อยต่างกันก็ยังได้ชื่อว่าผู้มีศีลเป็นวัตรปฏิบัติในการดำรงชีวิต

หาใช่รอวันพระวันเดียวจึงจะมีศีล วันอื่นๆปล่อยให้มารมันเต้นจะท้ายที่สุดเบียดศีลกระเด็นตกไป

อย่างนี้ก็จะเกิดและเห็นแต่ความทุกข์ความไม่สงบตลอดชีวิต

 

หากท่านใดหลงเข้ามาอ่านก็ต้องขอโทษด้วย

ที่บันทึกนี้อาจมีผลต้องความคิดและอารมณ์ของท่านก็ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

เพราะนี่คือฉันและประชาธิปไตยของฉันเอง

 

 

หมายเลขบันทึก: 554595เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2013 12:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2013 13:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

น้อง

tuknarak

555 หลงเข้ามาให้ดอกไม้หรือเปล่าค่ะ อิอิ

หลายคนพูดคุย ถามไถ่ เรื่องราวข่างสาร

ผมถามหาข่าว แม่คะนิ้ง

ดีใจที่เมื่อคืนฝนตก

แต่ง บทกวี รำพึงรำพัน

หลายคน หาว่าผมเย็นชา..

ผมตอบว่า

ผมชินชา...

พ.แจ่มจำรัส

อิอิ ชีวิตที่ผ่านมาแล้ว ไม่ใช่เย็นชา แต่มันชินชา ละใกล้เคียง เราๆท่านๆผ่านอะไรมา

บางครั้งไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย สำหรับพี่เองมองหาแก่นสารที่ผ่านมาไม่เจอ นอกจากโลกสังคมพาไป

ของจริงอยู่กับปัจจุบัน และทำกรรมดีด้วยตัวเราเอง...ขอบคุณกาลเวลาที่ผ่านมา

หลายประเด็นตรงใจมากๆ...เข้าใจความรู้สึกเหล่านี้ค่ะ

ขอบคุณพี่ใหญ่ที่เคารพนับถือ

นาง นงนาท สนธิสุวรรณ

ภาระหนักของหัวหน้าครอบครัวคือสมาชิกในครอบครัวไม่รักกัน

ตัดขากเยื่อใยซึ่งกันและกัน สาดใส่กันด้วยโคลนตมที่เน่าเหม็น

ใครไปใครมาก็ให้อดสู รบกวนเพื่อนบ้านไปด้วยกลิ่นปฏิกูลที่สาดใส่เข้าหากัน

ครอบครัวเราคงหาความสุขไม่ได้ในชาตินี้

หัวหน้าครอบครัวจะเจ็บปวดรร้าวรานใจเพียงใด

สมาชิกในครอบครัวไม่มีโอกาสได้เห็น

เพราะมุ่งเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้าง

ท้ายที่สุดครอบครัวเราจะเหลืออะไร

ขอบคุณค่ะ

อ่านแล้วชอบจังค่ะ ตรงใจหลายเรื่องเลย โอ๋ก็อินกับเขาในแง่ของการแสดงจุดยืนว่าเราไม่เอาความทุจริต ฉ้อฉลและไม่ยอมรับกติกา แต่ก็ไม่เอาแบบเป่านกหวีดหรือด่าว่าหยาบคาย เพราะคิดว่าการกระทำที่แสดงความก้าวร้าวไม่ว่ารูปแบบไหน ไม่ใช่แนวทางที่สร้างสรรค์อะไรเลย การแสดงออกอะไรที่เราไม่อยากให้คนอื่นทำกับเราก็ไม่น่าเป็นแนวทางที่เราทำกับคนอื่น แสดงความคิดตัวเองได้ แต่การไปทำร้ายคนอื่นไม่ว่ารูปแบบไหนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็ไม่ก้าวก่ายคนอื่นนะคะ เชื่อว่าทุกคนก็มีความคิดมีการตัดสินใจของตัวเอง การกระทำก็สะท้อนตัวตนของแต่ละคน เราดูแลตัวเราเองให้ทำสิ่งที่ถูกที่ควรก็พอแล้ว

ขอบคุณค่ะ น้องดร.

โอ๋-อโณ

เป็นแบบของพี่เอง แบบของน้องก็ดีนะคะ สร้างสรรค์พร้อมคุณธรรม

การอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงาม เป็นสิ่งที่สังคมยอมรับ

การเผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มและส่งความปรารถนาดี

ให้กันและกันช่วยจรรโลงโลกนี้ให้อบอุ่น และมีเส้นทางสู่ความสุข เบิกบาน

หากต้องจากกันก็ขอให้จากกันไปด้วยมิตรไมตรีที่ดี

อธิษฐานจิตให้เพื่อน พี่น้องของเราชาวไทย

ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข และเพื่อถึงซึ่งอริยทรัพย์ด้วยกันค่ะ

ขอบคุณดอกไม้แห่งความรัก ความปรารถนาดีจากทุกท่าน

เป็นดอกไม้ที่บริสุทธิ์ และกล้าหาญที่ได้เบ่งบานในใจทุกท่านแล้ว

ขอบคุณค่ะ

โอ๋-อโณ
เพชรน้ำหนึ่ง
ชยพร แอคะรัจน์
นาง นงนาท สนธิสุวรรณ
พ.แจ่มจำรัส
มนัสดา
tuknarak
บุษยมาศ
ประธาน
GD
ธีระวุฒิ ศรีมังคละ
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท