ปี พ.ศ. 2552 จะครบรอบ 200 ปี ชาตกาลของชาร์ล ดาร์วิน
คุณูปการของเขาคือชี้ให้เรารู้จักคำว่า "วิวัฒนาการ"
แม้ในยุคของเขา ยังไม่รู้จักเรื่องการถ่ายทอดพันธุกรรมโดย DNA แต่เขาก็ไปศึกษาภาคสนามและแสดงตัวอย่างให้เห็นถึงการวิวัฒนาการหรือการปรับตัวเพื่ออยู่รอดของสื่งมีชีวิตต่าง ๆ ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่บีบคั้น
แนวคิดเรื่องวิวัฒนาการของเขา กลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว จนคนไทยไม่เห็นเป็นของแปลก ใครมาโม้ทฤษฎีของเขา จะเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน อย่างเช่น การปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกาภิวัฒน์ การปรับองค์กร เป็นเรื่องรับรู้จนชินชา ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ
"ไปหลับที่ไหนมาซะนาน ?" จะเป็นคำแซวแม่บท ที่แตกเหง้าเหล่ากอออกไปได้อีกเยอะ เป็นปฐมบทของ "แซวานุแซว" แบบไม่ซ้ำสำนวน
เรื่องพื้น ๆ บ้านเรา แต่ไม่ใช่ในอเมริกาครับ
ผลสืบเนื่องของการที่งานของชาร์ล ดาร์วินขัดแย้งกับความเชื่อของสังคมว่าด้วยเรื่องคนกับลิงนั่นแหละครับ
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่จบ จริง ๆ ต้องเรียกว่าเป็นสงครามแบบมหากาพย์ ซึ่งคงไม่จบในแม้ในรุ่นของเรา เพราะฝ่ายค้านดาร์วิน ตีโต้ด้วยการประดิษฐ์คำอธิบายที่เรียกว่า "Intelligent Design" ขึ้นมา (มีผู้ย่อว่า ID) เพื่อบอกว่า ที่เราเห็นสรรพชีวิตเป็นอย่างนี้ ไม่ได้เป็นผลจากวิวัฒนาการบ้าบอคอแตกที่ไหนหรอก แต่เกิดจาก "ปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ ปรากฎการณ์เหนือคำอธิบาย [paranormal] คือบ่อเกิด" แล้วบอกว่า นี่คือวิทยาศาสตร์ทางเลือก
เหตุผลข้อที่กลุ่ม ID มักยกมา ได้แก่ปรากฎการณ์ phase transition ทั้งหลายทางชีววิทยา ว่าเกิดแบบไม่มีรากเค้า และประกอบกันลงตัวอย่างเหลือเชื่อ ดังนั้น ต้องมีใครมา design มันแน่เลย ทำได้เนี๊ยน-เนียนเสียด้วย หัวใสมาก (ที่มาของคำว่า inteligent design นั่นแหละ)
แนวคิดเรื่อง ID นี้ แพร่ไปไกล ในสหรัฐ เคยมีโรงเรียนบางแห่งที่ไม่สอนเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการ แต่สอนเรื่อง ID แทน และสปอร์ของ ID ยังแพร่กระจายไปหลายประเทศ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย จนร้อนถึงองค์กรที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์-การศึกษา ต้องมีการออกมาปราม เช่น ตั้ง "Committee for the Scientific Investigation of Claims of the Paranormal" (http://www.csicop.org) หรือผลักดันผ่านทางกฎหมาย เพราะเกรงว่าเป็นการปูทางให้เกิดลัทธิประหลาดที่อาจเติบใหญ่มาชี้นำทางการเมือง จนถึงขั้นทำให้การศึกษาของสหรัฐถอยหลังแบบย้อนวิวัฒนาการได้เป็นร้อยปี
ประเด็นเรื่อง ID นี้ มีนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ชื่อ Stephen Baxter ถือโอกาสหยิบมาใช้ในงานเขียนนิยายเรื่อง Titan ซะเลย
Titan ที่ว่า เป็นชื่อดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวพฤหัส ไม่ใช่ยักษ์ปักหลั่นในวรรณคดีฝรั่ง
Stephen Baxter เอง เขียนนิยายนับร้อยเรื่องในสิบกว่าปีที่ผ่านมา ฝีมือเขียนระดับเดียวกับอาซิมอฟหรืออาเธอร์ ซี คลาก แนวเรื่องส่วนใหญ่ที่เขาเขียน มักอิงแนวคิดเรื่องการวิวัฒนาการของมนุษยชาติเป็นหลัก และมุมมองเขาแหลมคมมาก เพราะเขานำไปใช้กับสังคมวิทยาได้อย่างกลมกลืน
ในเรื่อง Titan นี้ เขาเขียนให้เป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของ NASA ที่จะต้องรีบส่งคนไปสำรวจ Titan แบบ "ตั๋วเที่ยวเดียว ไปหาทรัพยากรดำรงชีพเอาดาบหน้า" ก่อน NASA จะโดนยุบทิ้งอย่างถาวรเพราะ "ตัวเก็งว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป" เชียร์กลุ่ม ID แบบสุดลิ่ม และชาตินิยมสุดขั้ว โดยจ้องจะยุบนาซาและงดวิจัยไฮเทคเพื่อเอาเงินไปใช้ในการ"จัดระเบียบโลก" ซึ่งในเรื่องนี้ ลงเอยด้วยการที่มนุษย์บนโลกสูญพันธุ์เกลี้ยง เพราะ"วิธีคิดทางสังคมและการเมือง" ของมนุษย์ วิวัฒนาการไม่ทันกับ "สมรรถนะการทำลายล้าง" ของตัวเอง
อ่านแล้วต้องลุ้นว่า แล้วนักบินอวกาศที่กำลังเดินทางล่ะ จะไปพบกับอะไร ?
อ่านแล้วต้องลุ้นว่า เอ๊ะ นี่จะเป็น โรบินสัน ครูโซ ภาคอวกาศ หรือเปล่า ?
ไม่ใช่ครับ
..แต่หาอ่านเองครับ ไม่เฉลย...
ถ้าดูรากเหง้าว่าทำไมแนวคิด ID แพร่หลายได้ อาจต้องย้อนไปดูเรื่องระบบคิดการจัดการการศึกษาของสหรัฐครับ เขาเน้นการจัดการการศึกษาในท้องถิ่นแบบครบวงจรมากไปหน่อย จนคนสหรัฐส่วนใหญ่ เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า อ่อนภูมิศาตร์-ประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นมาก เพราะหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเอง เพื่อนผมไปเรียนที่สหรัฐ กลับมาเล่าว่า Thailand กับ Taiwan นี่ อเมริกันบางคนยังแยกไม่ออกเลยครับ ซึ่งวิธีคิดแบบกระจายการจัดการการศึกษา จุดอ่อนก็จะอยู่ตรงที่กลายพันธุ์ง่าย ซึ่งถ้าเกิดมะเร็งเมื่อไหร่ ก็ต้องตามล้างตามเช็ดกันอย่างกรณีนี้
ที่ว่ามานี่ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการจัดการศึกษาแบบกระจายอำนาจนะครับ แต่จะชี้ให้เห็นว่า ถ้าไม่มีระบบกำกับดูแลที่ดีพอ ก็จะเห็นปรากฎการณ์แบบนี้ได้
เรื่อง ID นี้ คำถามที่อาจค้างคาใจคนคือ สหรัฐได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบประชาธิปไตยที่ภูมิใจในตัวเองสุด ๆ ว่าเป็นสุดยอดของเสรีภาพทางความเชื่อ ถึงขั้นอาสาจัดระเบียบโลก ขยันถึงขั้นว่าถ้ามีนุษย์ต่างดาวอยู่ และอยู่ในวิสัยจะจัดระเบียบนอกโลกให้มนุษย์ต่างดาวได้ ก็คงทำไปแล้วโดยไม่ต้องมีใครร้องขอ ทำไมต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจกับความเชื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าจะเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลที่ไม่ควรล่วงละเมิด ?
ประเด็นหลัก อยู่ตรงที่เขาไม่ได้สอน ID ในวิชาปรัชญาหรือวิชาเทววิทยานะสิครับ แต่ดันไปสอนในวิชาชีววิทยา แล้วบอกว่านี่คือชีววิทยา แล้วบอกว่านี่คือวิทยาศาสตร์
ถ้าใครผลิตยาออกขาย แล้วใส่สิ่งที่ไม่ตรงกับฉลากลงไปในตำรับ จะมีชื่อเรียกเพียงอย่างเดียวครับ คือ "ยาปลอม" ต่อให้ของที่ใส่ปนเข้าไปดีกว่าหรือแพงกว่ากันแบบเทียบไม่ติดก็ตาม
การยัดใส้แปลกปลอมแบบนี้ ยอมกันได้ซะเมื่อไหร่
เป็นอนันตริยกรรมทางวิชาการกันเห็น ๆ
สนใจเรื่องดาร์วิน ไปที่
สนใจเรื่อง ID ไปที่