การตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดแดงที่ขาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
CT Angiography of Lower extremity
นฤมล แจ่มศรี, สำเริง มาประชุม. การตรวจวินิจฉัยหลอดเลือดแดงที่ขาด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ . วารสารชมรมรังสีเทคนิคและพยาบาลเฉพาะทางรังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษาไทย, 2554; 5 (2) : 22-31.
โรคของหลอดเลือดแดงที่ขาเกิดจากภาวะที่มีการขาดเลือดไปเลี้ยงขามีทั้งแบบฉับพลันหรือแบบเรื้อรัง(acute /chronic ischemia) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการหนาตัวขึ้นของผนังหลอดเลือด(Atherosclerosis) หรือการมีก้อนเลือดไปอุดหลอดเลือดที่ขา(embolism)หรือภาวะที่มีการเกิดthrombosisในหลอดเลือดผู้ป่วยโรคของหลอดเลือดแดงที่ขามักมาด้วยอาการปวดขาเวลาเดิน (claudication),มีแผลที่เท้า(ulcer/gangrene)
ภาพที่1 แสดงผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงที่ขาที่มาด้วยอาการมีแผล ulcer และgangrene
ดังนั้นการได้ภาพรังสีของหลอดเลือดที่ขาจึงเป็นข้อมูลทางการแพทย์ที่สำคัญสำหรับการจัดการผู้ป่วย ซึ่งการสร้างภาพรังสีของหลอดเลือดขานั้นมีได้หลายวิธี เช่น Doppler US, MRA lower extremity vessels, CTA lower extremity ซึ่งให้ความจำเพาะ (specificity) แตกต่างกันตามแต่ละประเภทของเครื่องมือทางรังสี ผู้เขียนต้องการนำเสนอการตรวจทางรังสีที่ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งยังได้ภาพรังสีที่มีคุณภาพทั้ง 2D และ 3D นั่นคือ CTALower extremityซึ่งมีความถี่ในการส่งตรวจทางรังสีสูงกว่าการตรวจอื่นๆ
CTALower extremityคือ การตรวจเส้นเลือดแดงที่ขา เพื่อประเมินสภาพการไหลของเลือด (inflow and outflow) ของเส้นเลือดที่ขาโดยใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดMulti DetectorRow Computed Tomography (MDCT) ซึ่งในทางปฏิบัติได้แก่ 64 สไลด์ขึ้นไปจนถึง 720สไลด์แล้วนำภาพที่ได้จากการตรวจมาสร้างภาพ MIP และVR อย่างไรก็ตาม ในการให้บริการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ การสร้างภาพจาก 64 สไลด์ก็ทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพเพียงพอกับการวินิจฉัย
ในการตรวจมีความเสี่ยงสำคัญเนื่องจากมีการฉีดสารทึบรังสี ซึ่งมีผลต่อไตอาจทำให้เกิดไตวายหรือกรณีผู้ป่วยแพ้ไอโอดีนอาจเกิดอาการแพ้สารทึบรังสีได้ เพราะผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่มักเป็นผู้สูงอายุ ดังนั้นการส่งตรวจจึงจำเป็นต้องพิจารณาตามข้อบ่งชี้ (indication)ดังนี้(ข้อมูลจาก sikermedical.com)
การเตรียมตัวผู้ป่วยก่อนการตรวจ
1. ผู้ป่วยที่มีประวัติโรคประจำตัว เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ โรคไต เบาหวาน หรือมีประวัติแพ้อาหารทะเลและสารทึบรังสี ควรแจ้งพยาบาลประจำการนัดหมายให้ทราบเพื่อรายงานแพทย์ในการพิจารณาการใช้สารทึบรังสีเพื่อการเตรียมการตรวจอย่างครบถ้วน (proper management)
2. ให้ผู้ป่วยงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงก่อนทำการตรวจ ป้องกันการเกิดการสำลักอาหารลงระบบทางเดินหายใจหากเกิดการแพ้สารทึบรังสี
3. คำนวณหาค่า ABI (ankle-brachial index) ของขาทั้งสองข้าง เพื่อประกอบการวินิจฉัยของรังสีแพทย์ ซึ่งค่าABIหาได้จาก
ABI ข้างขวา = ความดันโลหิตช่วงsystolic ของข้อเท้าขวา / ความดันโลหิตช่วงsystolicของแขน
ABI ข้างซ้าย = ความดันโลหิตช่วงsystolic ของข้อเท้าซ้าย / ความดันโลหิตช่วงsystolicของแขน
โดยที่ค่าปกติของค่า ABI มีค่าเท่ากับ 0.9-1.3 ถ้าค่า ABI เท่ากับ 0.9 หรือน้อยกว่า แสดงว่ามีการอุดตันของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ถ้าค่า ABI เท่ากับ 0.4 พบในรายที่มีการขาดเลือดไปเลี้ยงรุนแรง จากการอุดตันของหลอดเลือดแดง
4. การตรวจหลอดเลือดที่ขาต้องสแกนตั้งแต่ช่องท้องถึงปลายเท้า ดังนั้นหากผู้ป่วยสวมกางเกงที่มีซิป ตะขอที่เป็นโลหะหรือใส่เข็มขัดควรถอดออกแล้วเปลี่ยนใส่ชุดที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมให้ 5. เนื่องจากเป็นการตรวจหลอดเลือดที่แดงที่ขาจึงควรแทงเข็มเปิดหลอดเลือดดำบริเวณข้อพับแขน และในการตรวจมีฉีดสารทึบรังสีที่ flow rate 4 ml/secจึงจำเป็นต้องใช้เข็มเบอร์ใหญ่ นั่นคือ Surflo No.18G
ขั้นตอนการตรวจ 1.การจัดท่าผู้ป่วย ผู้ป่วยนอนหงาย ศีรษะออกจากเครื่องและเท้าเข้าทางทิศหลอดเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แขนทั้งสองข้างวางเหนือศีรษะ จัดขาของผู้ป่วยเหยียดตรง ให้เท้าทั้งสองข้างชิดกันโดยใช้เทปกาวช่วยยึดบริเวณข้อเข่าและเท้าของผู้ป่วยในกรณีที่ผู้ป่วยเหยียดขาตรงไม่ได้นั้นให้จัดผู้ป่วยอยู่กึ่งกลางเตียงให้มากที่สุด และต้องเปิดสแกน FOV (Field Of View)ให้ครอบคลุมขาทั้งสองข้างซึ่ง FOV สูงสุดของเครื่องประมาณ 50ซม.ให้ผู้ป่วยหายใจเข้ากลั้นใจเมื่อสแกนบริเวณช่องท้องถึงสะโพกและให้ผู้ป่วยหายใจปกติเมื่อสแกนบริเวณขาและห้ามผู้ป่วยขยับขาขณะทำการตรวจ สารทึบรังสีที่ใช้ในการตรวจ CTA Lower extremityเพื่อให้ได้ภาพหลอดเลือดเล็กๆ ที่ปลายเท้า จะต้องใช้สารทึบรังสีที่มีความเข้มข้นสูง โดยทั่วไปจะต้องใช้ 350 mg/ml ขึ้นไป อย่างไรก็ตามผู้เขียนแนะนำให้ใช้สารทึบรังสีความเข้มข้น 370 mg/ml ปริมาณที่ใช้ประมาณ 100-120 mlขึ้นกับน้ำหนักของผู้ป่วยอัตราการฉีดอยู่ที่ 4 ml/sec
ภาพที่2แสดงภาพ SCOUT ซึ่งต้องจัดให้ขาผู้ป่วยเหยียดตรง (ภาพซ้าย) แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยเหยียดขาตรงไม่ได้(ภาพขวา) ซึ่งจำเป็นต้องจัดขาของผู้ป่วยให้อยู่กึ่งกลางเตียงเพื่อให้ขาของผู้ป่วยอยู่ในสแกน FOV
2.เทคนิคการตรวจ(protocols)
ค่าพารามิเตอร์ในการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
Scan Setting 100-120 kVp, Auto mA 200-500(for GE), Care dose Referent mAS 250(for SIEMENS) Rotation time 0.5 sec Slice Thickness helical 1-1.25 mm. Pitch แบ่งตามช่วงอายุของผู้ป่วย ดังนี้ 1. ผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 40 ปี Pitch 1.4 2. ผู้ป่วยอายุ 40-60 Pitch 1.2 3. ผู้ป่วยอายุ 61-70 Pitch 0.9 4. ผู้ป่วยอายุ 71-75 Pitch 0.7 5. ผู้ป่วยอายุมากกว่า 75 Pitch 0.65 Reconstruction 5-7 mm. Scan Direction Superior to inferior ขอบเขตการสแกน hepatic dome to toe IV contrast concentration 370 mg/ml IV contrast volume 100-120 ml Flow rate 4 ml/sec Scan scout Smart prep Arterial only phase delayed phase
3.การดูแลผู้ป่วยหลังการตรวจ
ภาพที่ 3แสดงภาพตัดขวาง(axial)ของการตรวจCTA Lower extremity ในกรณีที่เห็นnon opacificationของเส้นเลือด(ลูกศรชี้) ซึ่งจำเป็นต้องสแกน Delayed Phaseเฉพาะบริเวณที่เห็น non opacificationจนถึงปลายเท้า
ภาพที่ 4แสดงถึงขอบเขตการสแกนใน Arterial-only Phase(ซ้าย) และขอบเขตการสแกนใน delayed phase (ขวา)
เทคนิคกระบวนการจัดการภาพภายหลังเสร็จสิ้นการตรวจ(Post Processing Technique)
ภาพที่ได้จากการตรวจที่เป็นภาพอย่างละเอียด 1.25 มม. นั้น สามารถนำมาเข้าโปรแกรมเฉพาะของแต่ละเครื่อง เช่น โปรแกรม Volume Viewerหรือโปรแกรมสร้างภาพรังสีขั้นสูงมาสร้างภาพเพื่อการวินิจฉัย เช่นVitreaโดยเทคนิคที่ได้รับความนิยมสร้างภาพเพื่อวินิจฉัยโรคหลอดเลือดขาด ได้แก่Maximum Intensity Projection (MIP) และ Volume Rendering (VR)
ภาพที่5แสดงภาพ Volume Rendering ก่อนลบกระดูก (ซ้าย) หลังลบกระดูก (กลาง) และMaximum Intensity Projection (MIP)(ขวา) จากWorkstationของ vitrea ซึ่งสามารถเห็นเส้นเลือดได้ดีตั้งแต่ Abdominal aorta จนถึงเส้นเลือดเล็กๆบริเวณปลายเท้า
ภาพที่6แสดงภาพ MIP และ VR ของการตรวจCTA Lower extremityสามารถเห็นความผิดปกติของหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี จากภาพพบมี femero-poplitial occlusion ทั้งสองข้าง และมี calcification มากมายที่เส้นเลือดโดยเฉพาะบริเวณ Anterior และ Posterior Tibial Artery
สรุป
การตรวจ CTA Lower extremity จะสามารถเห็นรายละเอียด (detail and resolution) ของเส้นเลือดแดงเล็กๆบริเวณปลายเท้าได้ดีนั้น ควรตั้งค่าพารามิเตอร์ในการตรวจให้เหมาะสมโดยที่การเลือกใช้ rotation time ที่ 0.5 sec นั้น เพราะเป็นเวลาที่สามารถตรวจเห็นเส้นเลือดได้ดีโดยที่ผู้ป่วยสามารถกลั้นใจได้และไม่ขยับขาตลอดการตรวจและผู้ป่วยไม่ได้รับ dose มากเกินไป การตรวจซีทีโดยทั่วไปนั้นใช้ kV ที่ 120 kV ซึ่งการตรวจ CTA Lower extremity นั้นก็สามารถตั้งค่า kV ที่120 kV ได้เช่นกันแต่เส้นเลือดเล็กๆที่ปลายเท้าอาจเห็นได้ไม่ชัดเจนอาจต้องพิจารณาลดค่า kV ลงมาที่ 100 kV ตามความเหมาะสม การตรวจให้ครอบคลุม Abdominal Aorta เนื่องจากบางครั้งการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่ขาอาจจะมีการอุดตันที่ Abdominal Aorta ร่วมด้วย หรือกรณีมี calcification ที่เส้นเลือดขาอาจพบ calcification ที่ Abdominal Aorta ร่วมด้วยเช่นกัน และเนื่องจากขอบเขตการสแกนที่ต้องครอบคลุมตั้งแต่ช่องท้องไปจนถึงขาซึ่งมีความหนาบางต่างกันดังนั้นจึงต้องตั้งค่า mA เป็น Auto mAให้ค่าระหว่าง 200-500 mA สำหรับเครื่องCT ของ GE กรณีเครื่อง CT ของ SIEMEN เลือกใช้ Care dose ตั้งค่า Reference mAs 250 เพื่อให้เครื่องคำนวณค่า mA ที่ใช้โดยอัตโนมัติ รวมถึงการเลือกปริมาณการฉีดสารทึบรังสีให้พอเหมาะ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาได้ถูกต้อง
ข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
ขอบคุณเรื่่องราวดีดี มีประโยชน์นี้นะคะ ....
ขอขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ แบบนี้ครับ