กำเนิดเพลงโศกประจำชาติไทย
ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อมีการเสียชีวิตของคนในหมู่บ้าน หรือในละแวกใกล้เคียง หากว่าเป็นการตายโดยธรรมชาติ เจ้าภาพมักจะจัดให้มีการสวดศพที่บ้าน ยิ่งผู้ตายเป็นผู้สูงวัยด้วยแล้ว นอกจากจะมีการบำเพ็ญกุศลศพนานวันแล้ว ยังต้องเก็บศพไว้ที่บ้านเป็นเวลานานจึงจะจัดให้มีพิธีฌาปนกิจศพ บ้างก็ว่าเพื่อให้ลูกหลานที่อยู่ไกลๆจะได้มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน แต่บางครั้งก็เพื่อให้มีเวลาเก็บรวบรวมเงินทองให้เพียงพอ ที่จะจัดงานให้สมเกียรติและสมแก่ฐานะของผู้ตาย
เมื่อถึงวันเผาก็จะเคลื่อนศพจากบ้านไปทำพิธีที่วัด บ้านที่อยู่ริมน้ำก็จะเตลื่อนย้ายโดยทางเรือ แต่ถ้าอยู่ในสวนและไม่สะดวกก็จะใช้วิธีแบกหามไปวัดแทน เพราะการเดินทางในสมัยนั้นจะมีก็เพียงทางน้ำเท่านั้น แต่ที่เหมือนกันเวลาเคลื่อนศพก็คือจะมีขบวนแห่ โดยมีแตรวงนำหน้า บรรเลงเพลงช้า และมีกลองตีเป็นจังหวะนานๆครั้ง ซึ่งเมื่อได้ยินก็ทราบได้ว่าเป็นเพลงที่แสดงถึงความเศร้าโศกและอาลัยต่อการจากไปของผู้ตาย
บรรยากาศเช่นนี้นับวันแต่จะไม่ค่อยพบเห็น นับตั้งแต่ความเจริญเข้ามาถึงพร้อมด้วยการคมนาคมที่สะดวกสบาย งานศพก็แค่เพียงไปร่วมไว้อาลัยต่อผู้ตาย ร่วมฟังสวดและฌาปนกิจศพเท่านั้น ไม่ต้องไปอยู่ช่วยงานกันจนหามรุ่งหามค่ำ แต่ที่เห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันก็คือ ยังมีการบรรเลงหรือเปิดเพลงโศกในงานศพกันอยู่บ้างโดยเฉพาะในชนบท ซึ่งการใช้เพลงโศกนี้ก็มีที่มาจากราชสำนักในสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง
โดย จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงประพันธ์เพลงโศกในพระราชพิธีถวายพระเพลิง สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟังขณะเสด็จพระราชดำเนินตามพระบรมศพ ได้ทรงพระราชดำรัสว่า เพลงนี้สมควรเป็นเพลงโศกจริง ต่อไปขอให้ใช้เพลงนี้เป็น "เพลงโศกประจำชาติ" และให้ใช้นำศพตั้งแต่พระบรมศพตลอดจนถึงศพสามัญชนได้
จึงถือเป็นกำเนิดเพลงโศกประจำชาติไทย ยามใดที่ได้ยินหรือได้ฟังเพลงที่มีอารมณ์เพลงใกล้เคียงกับเพลงโศก ใจมันก็รู้สึกปล่อยวางได้เหมือนกัน รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเอาอะไรไปได้ นอกเสียจาก กรรมดี กรรมชั่ว ที่ตนเองสร้างสมไว้นั่นเอง
โดย คนบ้านเดียวกัน
พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยศาสตราจารย์ น.อ สมภพ ภิรมย์ ร.น ราชบัณฑิต
หนังสือที่ระลึกเฉลิมพระเกียติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่วันพระราชสมภพครบ ๑๕๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๖ โดย กองทัพเรือ
ไม่มีความเห็น