Success Story by CF
ในวันที่ 26 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา โครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย จัดให้มีการเล่า success story จากการทำงาน ด้วยวิธี story telling ในกลุ่ม Cluster Facilitator (CF) ซึ่งทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการให้คำปรึกษาเรื่องระเบียบวิธีวิจัยกับทีมต่างๆ โดยได้รับความร่วมมือจาก ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคมกรุณามาเป็น Facilitator กลุ่ม เป้าหมายของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ คือ การเรียนรู้การนำเทคนิคของ knowledge management มาใช้ในการดำเนินงานพัฒนาโครงการวิจัยของ R2R มากขึ้น และยังเป็นการแบ่งปันความรู้ความสำเร็จในการทำงานในกลุ่ม Cluster Facilitator อีกด้วย ผู้เล่าเรื่องได้แก่ อ.นพ.อัครินทร์ นิมมานนิตย์ (ผู้จัดการโครงการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย) ผศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ (ภาควิชาอายุรศาสตร์) อ.นพ.กุลธร เทพมงคล (ภาควิชารังสีวิทยา) รศ.พญ.ศิริพร ปิติมานะอารี (ภาควิชาวิสัญญีวิทยา) อ.นพ.ชนินทร์ ล่ำซำ (ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด) ผศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต (ภาควิชากุมารเวชศาสตร์) รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร (ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา) และ ดร.ชนากานต์ บุญนุช (ฝ่ายการพยาบาล)
เรื่องเล่าของ อ.นพ.อัครินทร์ นิมมานนิตย์
“...เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สามารถดำเนินการให้ผู้บริหารเข้าใจ และเห็นด้วยกับการอนุมัติทุนขนาดใหญ่ ให้แก่ทีมผู้วิจัยทีมหนึ่งได้ โดยความเป็นมาของประเด็นปัญหาที่ทำให้ต้องถกกันคือ รายละเอียดของเนื้องานวิจัย มีค่าใช้จ่ายในการตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นส่วนมาก จึงไม่แน่ใจว่าจะตรงกับนโยบายของ R2R หรือไม่ เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จึงเข้าปรึกษากับรองคณบดีฝ่ายวิจัยหลายครั้ง รวมทั้งส่งโครงร่างงานวิจัยให้ผู้เชี่ยวชาญ (expert content) ทำการทบทวน จนกระทั่งสรุปร่วมกันว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี และน่าสนับสนุน...”
สกัดความรู้: เมื่อพบปัญหาใดก็ตามที่ยากเกินแก้หรือไม่มั่นใจที่จะตัดสินใจ แทนที่จะปล่อยผ่านไป ให้มองหามุมที่แตกต่าง โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีมุมมองกว้างขวางในการวิเคราะห์ปัญหานั้นๆ
เรื่องเล่าของ ดร.ชนากานต์ บุญนุช
“…ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ และสำเร็จในระดับหนึ่งในการเป็น CF ได้อำนวยความสะดวกให้แก่นักวิจัยหน้าใหม่ รวมทั้งได้เพิ่มความรู้ให้ตนเอง แม้จะมีอุปสรรคระดับบริหารอยู่บ้าง แต่การจะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ย่อมต้องผ่านอุปสรรค รวมทั้งต้องมีผู้อุปการะ (เช่นการมี CFเป็นที่ปรึกษา) นอกจากนี้รู้สึกยินดีที่ได้เรียนรู้ระเบียบวิธีวิจัยของศาสตร์ด้านอื่นๆ นอกเหนือไปจากด้านสังคมศาสตร์ที่ตนเองเรียนมา... “
สกัดความรู้: แม้การเป็น CF จะเป็นผู้ให้คำปรึกษา ให้ความรู้แก่ทีมนักวิจัย แต่ก็ได้เรียนรู้ไปด้วยพร้อมๆกับการให้ความรู้
เรื่องเล่าของ รศ.พญ.ศิริพร ปิติมานะอารี
“...ความสำเร็จจากเป็นผู้เสนอให้มีทุนวิจัยเอื้ออาทร ความเป็นมาเริ่มจากผู้ปฏิบัติงานมักบอกเสมอว่าไม่มีเวลาทำงานวิจัย ภาควิชาวิสัญญีวิทยาก็เล็งเห็นปัญหานี้เช่นกัน จึงคิดเรื่องทุนวิจัยเอื้ออาทรขึ้น เพื่อให้ free time 16 man-day เพื่อให้สามารถหลุดออกมาจากงานประจำเพื่อมาทำงานวิจัยได้ ใน 16 วันที่ขอได้นี้สามารถนำไปใช้ทำงานวิจัยได้ 1 โครงการ โดยสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปวันละ 1 คน ซึ่งไม่ทำให้ขาดคนทำงานด้วย แต่มี commitment ว่าต้องส่งโครงร่างงานวิจัย เมื่อครบ 16 วัน ผู้วิจัยจะนำโครงร่างงานวิจัยเสนอที่ประชุม research meeting ผู้เข้าฟังจะเป็นใครก็ได้ถือเป็นการเรียนรู้ในภาควิชา…”
สกัดความรู้: ทุนวิจัยนอกจากสนับสนุนเงินทุนในการทำวิจัยแล้ว ยังมีทุนวิจัยที่สนับสนุนด้านเวลาในการทำงานวิจัยด้วย ซึ่งอาจจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมในแต่ละภาคส่วนต่อไป
เรื่องเล่าจาก อ.นพ.ชนินทร์ ล่ำซำ
“...เรื่องที่ถือว่าสำเร็จ คือ การพยายามชักชวนพยาบาลที่หอผู้ป่วยให้หันมาทำงานวิจัย จากเดิมที่พยาบาลที่หอผู้ป่วยมักบอกว่าไม่มีเวลา มีภาระงานมาก จึงได้สอบถามสารทุกข์สุกดิบ ปัญหาต่างๆที่พบในหอผู้ป่วยในแต่ละวัน จนกระทั่งพยาบาลท่านนั้นเห็นว่าปัญหาเหล่านั้นซึ่งเป็นเป็นปัญหาที่เขาเองก็อยากแก้ไขสามารถนำมาทำเป็นงานวิจัยได้ เช่น ความรู้สึกที่อยากให้ผู้ป่วยได้กลับบ้านเร็วขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย การดูแลตัวเองเมื่อผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว เหล่านี้จับมาทำเป็นงานวิจัยได้…”
สกัดความรู้: นอกจากความรู้ความสามารถด้านระเบียบวิธีวิจัยที่ CF พึงมีแล้ว ศิลปะในการเจรจา การเข้าหาทีมนักวิจัยอย่างกัลยาณมิตรก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมนักวิจัยหน้าใหม่เปิดใจและร่วมมือ เทคนิคในการพูดคือ ไม่คุยเรื่องวิจัย แต่คุยเรื่องงานและสิ่งที่อยากปรับปรุง
เรื่องเล่าจาก รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร
“......สิ่งที่ถือว่าสำเร็จสำหรับตัวเองคือ สามารถผลักดันให้งานสำเร็จได้โดยหาผู้ช่วย คือ resident เนื่องจาก resident ต้องทำงานวิจัยอยู่แล้ว จึงให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนให้ทำงานวิจัยร่วมกับพยาบาล ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ วิธีที่ดำเนินการอยู่คือ ปล่อยให้ resident ประชุมกับทีมพยาบาลกันเอง resident มักทำหน้าที่ในการ review literature เขียนรายงานการวิจัย หน้าที่อื่นๆจะเน้นทำไปด้วยกัน เรียนรู้พร้อมๆกัน แม้งานวิจัยที่ได้จะไม่ได้เลิศหรู แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานภูมิใจ และเป็นพื้นฐานให้พัฒนาทักษะในการทำงานวิจัยของพยาบาลต่อไป...”
สกัดความรู้: การหาทีมช่วยเหลือ CF เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบางานของ CF ได้ ในที่นี้ใช้วิธีการสนับสนุนงานวิจัยของ resident ซึ่งมีกำหนดเวลาของงานวิจัยอยู่แล้ว ควบคู่ไปกับเสริมให้พยาบาลได้เรียนรู้ทักษะงานวิจัยจากการทำงานร่วมกับ resident
เรื่องเล่าจาก ผศ.นพ.เชิดชัย นพมณีจำรัสเลิศ
“...จากการได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการติดดาวของฝ่ายพัฒนาคุณภาพ พบโครงการหนึ่งของพนักงานสาย ค. ภาควิชากุมารเวชศาสตร์เกี่ยวกับการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการจัดการกับเอกสารอย่างเป็นระบบ จึงแนะนำให้ลองทำเป็นงานวิจัยแบบ R2R ซึ่งปรากฏว่าทีมเห็นด้วย จึงได้นัดคุยกัน ครั้งแรกกังวลเรื่องระเบียบวิธีวิจัยพอสมควร เพราะทีมไม่รู้เรื่องระเบียบวิธีวิจัยมาก่อน จึงเริ่มด้วยการให้ทีมเป็นผู้เล่าแนวทาง วิธีการดำเนินงานวิจัยแบบที่อยากจะให้เป็น เมื่อเล่าโต้ตอบกันไปมา พบว่าทีมก็มีความรู้เรื่องระเบียบวิธีวิจัยอยู่ในตัว เพียงแต่ไม่ได้พูดกันด้วยศัพท์วิชาการเท่านั้น ท้ายที่สุดได้ให้แนวทางแก้ไขเรื่องระเบียบวิธีวิจัยไปพอสมควร รวมทั้งให้ทีมกลับไปเรียบเรียงเนื้อที่พูดคุยทั้งหมด แล้วจึงค่อยปรับให้เข้ากับแบบฟอร์มโครงร่างงานวิจัยของ R2R ต่อไป...”
สกัดความรู้: ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรวิชาชีพใด หากมีการนำเอาปัญหาจากการทำงาน มาพัฒนาเป็นงานวิจัย และสามารถนำผลงานวิจัยกลับไปใช้เพื่อการทำงานที่ได้ผลดีขึ้น ก็ย่อมเป็น R2R จึงยืนยันว่าบุคลากรทุกภาคส่วนทำงานวิจัยได้ ไม่เฉพาะแต่แพทย์และพยาบาลเท่านั้น
เรื่องเล่าของ อ.นพ.กุลธร เทพมงคล
“...รู้สึกประทับใจกับทีมวิจัยทีมหนึ่งซึ่งไม่คิดว่าจะส่งโครงร่างงานวิจัยเข้ามา แต่ทีมคิดที่จะทำ แล้วก็ทำจริงๆ กล่าวคือ ช่สงที่ผ่านมาเกิดปัญหาเรื่องคิวฉายแสงรอนานมาก จึงมีการประชุมกันหลายฝ่าย ทั้งแพทย์ พยาบาล นักฟิสิกส์ นักรังสีเทคนิค แต่ไม่ได้ข้อสรุป จึงให้ความเห็นไปว่าเคยเห็นจากแคนาดา เวลาเกิดปัญหาจะมีการนำข้อมูลมาพิจารณากันจริงๆเพื่อค้นหาว่าปัญหาเกิดขึ้นที่จุดไหน หลังจากประชุม พยาบาล OPD ซึ่งเป็นทีมผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหานี้จึงได้มาปรึกษาว่าจะนำข้อมูลอะไรมาพิจารณา จึงแนะนำพร้อมทั้งบอกว่างานนี้อาจจะหนักเกินไปเพราะเราไม่มีระบบฐานข้อมูลที่ดีพอที่จะทำได้อย่างรวดเร็ว แต่เห็นว่าทีมอยากจะทำและมีแววตาที่แสดงความมุ่งมั่นจึงแนะไปว่างานแบบนี้ก็มีคนนำมาทำวิจัยเหมือนกัน อีก 1 เดือนต่อมาทราบว่าทีมคิดจะจับเรื่องนี้ทำงานวิจัย และเข้ามาปรึกษากับ R2R จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้จึงได้รับ first draft proposal ...”
สกัดความรู้: การทำงานทุกขั้นตอนอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ย่อมเกิดผลลัพธ์ที่ดีตามมา ดังเช่น การที่ CF พยายามให้คำปรึกษาที่ดีทุกครั้งที่มีโอกาส สุดท้ายจะเกิดผลตามมาแน่นอน
เรื่องเล่าของ ผศ.ดร.นพ.วิปร วิประกษิต
“...การได้มีส่วนสนับสนุนงานอบรม research nurse ของภาควิชากุมารเวชศาสตร์ เรื่องนี้เป็น idea ของหัวหน้าภาควิชา ตัวเองรับหน้าที่เป็นผู้ประสานระหว่างภาควิชากับโครงการ R2R เมื่อได้รับมอบหมายก็เข้าไปประชาสัมพันธ์ ผลักดัน สาขาต่างๆในภาควิชา ซึ่งตอบรับอย่างดี ทุกสาขาต้องการให้พยาบาลของสาขามาเข้าร่วมเพื่อฝึกอบรมทักษะวิจัยแล้วกลับไปเป็นผู้ช่วยวิจัยของสาขา นับว่าเป็น win-win situation กับทุกสาขาวิชา ทั้งอาจารย์แพทย์และพยาบาล แพทย์ก็มีผู้ช่วยทำงานวิจัย พยาบาลก็ได้เรียนรู้และเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง…”
สกัดความรู้: ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานให้ทำงานวิจัย
จากข้างต้นเคล็ดลับต่างๆ ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ทีมผู้วิจัย ที่เก็บเกี่ยวจากเรื่องเล่าในวันนั้น สรุปได้หลายแง่หลายมุม ดังนี้
1. ไม่ละทิ้งปัญหา แม้จะยากเกินแก้ เมื่อพบปัญหาใดก็ตามที่ยากเกินแก้หรือไม่มั่นใจที่จะตัดสินใจ แทนที่จะปล่อยผ่านไป ให้มองหามุมที่แตกต่าง โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีมุมมองกว้างขวางในการวิเคราะห์ปัญหานั้นๆ
2. ทุนวิจัยที่สนับสนุนด้านเวลา ทุนวิจัยนอกจากสนับสนุนเงินทุนในการทำวิจัยแล้ว ยังมีทุนวิจัยที่สนับสนุนด้านเวลาในการทำงานวิจัยด้วย ซึ่งอาจจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมในแต่ละภาคส่วนต่อไป
3. พูดคุยเรื่องที่ทีมรู้สึกว่าเป็นปัญหาด้วยวิธีการที่เป็นธรรมชาติและกลมกลืน หน้าที่สำคัญของ CF คือการกระตุ้นและผลักดันให้ผู้วิจัยทำงานวิจัยให้สำเร็จ แต่ศิลปะในการกระตุ้นก็มีส่วนที่สำคัญ เช่น แทนที่จะถามว่า “มีคำถามที่จะนำมาทำวิจัยหรือไม่?” อาจถามว่า “ทุกวันนี้มีปัญหาในการดูแลผู้ป่วย หรืองานบริการอื่นๆอย่างไร?” เพราะหลายครั้งที่ผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถคิดหาคำถามวิจัยได้ โดยที่ไม่รู้ว่าปัญหาที่เขาพบเจอทุกวันนั้นเองที่จับมาทำงานวิจัยได้ แล้วยังนำกลับมาใช้พัฒนาต่อให้งานบริการมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
4. งานวิจัยต้องเป็นงานที่เกิดจากความต้องการของผู้ทำวิจัย ใช้วิธีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นปัญหาในการทำงาน จนกระทั่งทีมสามารถคิดคำถามวิจัยได้เอง ซึ่งการที่ทีมรู้สึกว่าสามารถคิดได้ด้วยตัวเองนั้น จะทำให้รู้สึกว่าการทำวิจัยไม่ยากจนเกินไป และเปลี่ยนภาพพจน์ของการทำ R2R ให้เป็นเรื่องง่ายได้
5. มองหาทีมช่วยเหลือ โดยปกติ CF ที่ปฏิบัติภารกิจ R2R ก็มีภาระงานประจำที่ทำอยู่ค่อนข้างมาก การหาทีมช่วยเหลืออาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบางานของ CF ได้ จากเคล็ดลับของ รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ ใช้วิธีส่งเสริมงานวิจัยของแพทย์ประจำบ้าน ซึ่งต้องทำงานวิจัยอยู่แล้ว โดยแพทย์ประจำบ้านจะร่วมทำงานกับทีมพยาบาลในหอผู้ป่วยโดยมี CF คอยให้ความช่วยเหลือเป็นระยะ ผลที่ได้รับคือ แพทย์ประจำบ้านและพยาบาลได้เรียนรู้ไปด้วยกัน ในขณะเดียวกัน CF ก็เบาแรงไปด้วย
6. บุคลากรทุกหน่วยสามารถทำงานวิจัยได้ เนื่องจากงานวิจัยแบบ R2R ค่อนข้างยืดหยุ่น กล่าวคือ เป็นการพัฒนางานวิจัยจากปัญหาที่เกิดจากงานประจำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด หากมีการนำเอาปัญหาจากการทำงาน มาพัฒนาเป็นงานวิจัย และสามารถนำกลับไปใช้เพื่อให้การทำงานได้ผลดีขึ้น ก็ย่อมเป็น R2R จึงยืนยันว่าบุคลากรทุกภาคส่วนทำงานวิจัยได้
7. เน้น process ที่ดีที่สุด outcome จะตามมา การทำงานโดยเน้นให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมเกิดผลลัพธ์ที่ดีตามมา อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่เกิดอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่ต่างไป
8. ผู้บริหาร/หัวหน้างาน มีส่วนสำคัญมากในการผลักดัน หน่วยงานใดก็ตามที่หัวหน้างานสนับสนุนให้บุคลากรในหน่วยทำงานวิจัยอย่างจริงจัง หน่วยงานนั้นจะมีพลังขับเคลื่อนอย่างเหลือเฟือในการสร้างงาน หากแต่วิธีการสนับสนุนบุคลากรควรเป็น “วิธีการที่เป็นมิตร”
9. รอยยิ้ม & กำลังใจ ผู้สนับสนุนผลักดันงานวิจัยทุกท่าน นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านระเบียบวิธีวิจัยแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่จะขาดไม่ได้คือ “รอยยิ้ม” และ “กำลังใจ” ที่พร้อมจะส่งให้กับผู้ทำงานวิจัยทุกคน
สวัสดีคะ..แมวหมี..
พี่กะปุ๋มรอน้องนานมากเลยนะ...กว่าจะได้มาเจอกันใน Blog แต่พอเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก...
...
ขอบคุณนะสำหรับบันทึกเรื่องเล่าละเอียด...ได้มุมมองในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ดีมากเลยคะ...
(^_______^)
เขียนบ่อยๆ นะคะ
กะปุ๋ม
ตกลงพี่กะปุ๋มจะเรียก...maewmee หรือฝนดีนะ...เรียกฝนดีกว่าเนอะ...
...
พลังใจ...พลังใจ...เราต้องสร้างขึ้นมาให้ได้นะ...แต่ถ้าเหนื่อยก็นอนพัก..ให้หายเหนื่อย..แล้วตื่นขึ้นมาอย่างมีพลังกาย..และพลังใจนะจ๊ะ...
(^________^)
เป็นกำลังใจให้คะ...
พี่กะปุ๋ม
คุณฝนบันทึกได้ดีมากเลยค่ะ สกัดความรู้เอาไปใช้เป็นเทคนิคการทำงานส่งเสริมให้คนทำงานวิจัยได้เลย เป็นความรู้แบบ how to จริงๆค่ะ
ลัดดา
สวัสดีคะ...อ.หมอลัดดา...และน้องฝน
เข้ามาอีกรอบ...มาสนับสนุนความคิดของท่าน อ.หมอลัดดาคะ...ว่าเรื่องเล่าของน้ำฝนทำให้ได้ศึกษาตัวแบบ..การทำ R2R และสามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ได้เลยคะ..
(^___^)
กะปุ๋ม