การนำ ICT มาใช้อย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการศึกษาไทย ถ้าเรานำมาใช้ให้ถูกทิศทางก็จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังรายละเอียดที่จะนำเสนอท่านดังนี้
แสดงความคิดเห็นเรื่อง “การนำ ICT มาใช้อย่างไรจึงเหมาะสมกับการศึกษาไทย”โดย นางสาวเสริมพร บุญเลิศในปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตของเรามากขึ้นในทุกด้าน แม้กระทั่งด้านการศึกษา ก็ได้นำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้มากเพิ่มขึ้น เช่น การใช้อินเตอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูล คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI) การสืบค้นต่างๆด้วยระบบคอมพิวเตอร์ การติดต่อสื่อสารไร้สาย สิ่งต่างๆเหล่านี้มีประโยชน์ถ้านำมาใช้ในทางที่ถูกต้องเหมาะสม และมีโทษเมื่อผู้ใช้ไม่มีคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้ตัวอย่างเช่น การนำภาพที่ไม่พึงประสงค์ตัดต่อและนำไปเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดความเสียหายในหลายฝ่าย ถึงแม้มีการป้องกันแต่ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นได้การที่สถาบันการศึกษาต่างๆจะนำเอาเทคโนโลยีต่างๆมาใช้ทางด้านการศึกษา ต้องมีความพร้อมในหลายๆด้านเพื่อที่จะสามารถรองรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ ซึ่งในการที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ ต้องมีความพร้อมในด้านความรู้ในเทคโนโลยีนั้นๆ และเมื่อนำมาใช้แล้วเกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง และสามารถพัฒนาต่อให้เป็นประโยชน์ทางด้านการศึกษาได้ สามารถเผยแพร่ได้ และที่สำคัญต้องมีจรรยาบรรณในการใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม จึงจะทำให้การนำเอา ICT มาใช้อย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เห็นที่อื่นเขามีก็มีบ้าง แต่เมื่อเรานำมาใช้แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ก็จะทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณไปเปล่าๆทั้งนี้การนำเอา ICT มาใช้ในการศึกษาไทยในปัจจุบันมีความสำคัญมากและส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างยิ่ง ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีต่างๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งต่างจากการศึกษาในสมัยก่อนมาก ดังบทความที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการศึกษา โดยที่สรุปใจความสำคัญและนำมาให้ทุกท่านได้อ่านดังนี้ บทความ เรื่อง “ในโลกของเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาจากกระดานหิน ถึง Ipod”โดย รศ.ดร.สมศักดิ์ คงเที่ยงอาจารย์ประจำสาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหงที่มา : วารสารวิทยาจารย์. ปีที่ 105 ฉบับที่ 10 ,สิงหาคม 2549, หน้า 40-43.********************************คำว่า เทคโนโลยี เป็นคำไทยทับศัพท์ ซึ่งได้ถูกหยิบยืมมาจากภาษาอังกฤษ คือ technologyโดยใช้คำออกเสียงเช่นเดียวกับคำไทย ความหมายในพจนานุกรมไทยและอังกฤษให้ความหมายของคำนี้อย่างกว้างขวาง แต่มีใจความสำคัญที่ตรงกัน คือ “ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานในอุตสาหกรรม หรือในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการใช้หลักวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตหรือการทำงาน”เทคโนโลยีนั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานควบคู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยทีเดียว เทคโนโลยีเกิดขึ้นจากความพยายามของมนุษย์ที่ต้องการจะต่อสู้กับปัญหาต่างๆ เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น การศึกษาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการคงอยู่ของสังคม และการศึกษาเอองก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์เช่นกันคำว่า การศึกษา Education ในภาษาอังกฤษนั้นเป็นคำที่มีความหมายที่ลึกซึ้งจนสามารถตีความหมายได้หลากหลาย แต่ความหมายของการศึกษาจากนักการศึกษาอย่างแท้จริง คือการศึกษา คือ การถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งและส่วนหนึ่งของความรู้ที่กล่าวถึง ก็คือ เทคโนโลยีในด้านต่างๆนั่นเอง จึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่มนุษย์จะรู้จักนำเทคโนโลยีในแง่มุมต่างๆมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการถ่ายทอดความรู้ เริ่มจากการที่มนุษย์รู้จักใช้หิน กระดูกสัตว์ หรือเศษวัสดุอื่นๆมาสลักรูปต่างๆบนแผ่นหิน ซึ่งเป็นการสร้างสื่อการเรียนรู้อย่างพื้นฐาน ด้วยสื่อดังกล่าวมนุษย์ปัจจุบันได้เรียนรู้แนวทางการดำรงชีวิตของมนุษย์ในอดีตได้จากนั้นเทคโนโลยีการเขียนก็ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเรียนในระบบห้องเรียนได้เกิดขึ้นในสมัยกรีก(Greek) โดยการถ่ายทอดความรู้จากการสนทนา ถกเถียงกัน และการนำเสนอข้อความรู้ในรูปการวาดและเขียนตัวอักษรบนแผ่นหิน และได้ถูกพัฒนามาเป็นชอล์กบนกระดานดำ (Chalk and Black board) และปากกาหมึกเคมีลบได้บนกระดานขาว (White board and White board pen) จากนั้นปากกาและหมึกสร้างสรรค์ผลงานลงในกระดาษ ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “หนังสือ” โดยการคัดลอกจากต้นฉบับด้วยมือซึ่งใช้เวลามาก และได้พัฒนาจนเกิดเทคโนโลยีการพิมพ์ใน คริสศวรรษที่ 14-15 โดยกัตเทนเบอร์ก (Gutenberg) ซึ่งเป็นการปฏิวัติรูปแบบการศึกษาและเป็นต้นกำเนิดของการถ่ายทอดความรู้ในวงกว้างด้วยสื่อ และได้ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยใช้เทคโนโลยีที่ใหม่และทันสมัยที่สุดเสมอ จากหนังสือเป็นวิทยุ จากวิทยุเป็นโทรทัศน์ และเพื่อความคล่องตัวเทปเสียงและวีดีโอเทปได้ถูกนำมาใช้บันทึกรายการทางการศึกษาอย่างแพร่หลายช่วงปี ค.ศ.1970-1980 และมาถึง ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจากโลกสื่อต่อเนื่อง (Analog media) มาเป็นสื่อระบบดิจิตอล(Digital) ด้วยการนำของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคปี ค.ศ.1990บทเรียนต่างๆเริ่มถูกนำเสนอโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของแผ่นบันทึกแม่เหล็ก(Floppy disk)หรือแผ่นดิสค์(Disc) และในปี ค.ศ.2000 ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต (Internet) มีการสร้างบทเรียนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ในรูปแบบการนำเสนอที่สามารถโต้ตอบระหว่างผู้ให้และผู้รับความรู้ได้ในทันที ในรูปแบบหน้าอินเทอร์เน็ต (Website) ที่ผู้เรียนสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้จากทุกที่และทุกเวลา ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนาม “ e-learning ” แต่ถึงกระนั้นผู้เรียนยังคงถูกจำกัดด้วยคุณสมบัติบางอย่างและขนาดของคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่เกินความสะดวกที่จะเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้ “ทุกที่ ทุกเวลา” ในปัจจุบันขณะที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์พัฒนาอย่างรวดเร็วคอมพิวเตอร์ก็ถูกสร้างให้มีขนาดเล็กลง และมีคุณสมบัติที่เหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ทุกที่ ทุกเวลา โยมีคุณสมบัติเหมือนคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมเพิ่มเติม เช่น ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก สามารถทำงานได้โดยตรงโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นเชื่อมต่อ จากการสรุปประวัติศาสตร์เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอย่างสังเขปข้างต้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการนำเสนอได้ถูกนำมาทดลองใช้ในการศึกษาแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่มีผู้นิยมใช้อยู่แล้วในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในด้านการสื่อสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ เทป แผ่นดิสค์ในด้านการบันเทิง สำหรับใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีเครื่องเล่น MP3 บน Hard disk หรือที่เรานิยมเรียกตามชื่อเครื่องเล่นในรุ่นและแบบที่นิยมที่สุดในชื่อ “ipod” เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการนิยมและการเพิ่มของจำนวนผู้ใช้อย่างสูงสุด ซึ่งในตอนต้น ipod ถูกออกแบบโดยบริษัท Apple เพื่อเป็นอุปกรณ์ในการจัดเก็บและเล่นเพลงที่มีคุณภาพเสียงที่ดีและมีความจุสูง โดยเน้นที่ความบันเทิงเป็นจุดหลัก หลังจากที่ ipod ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อุปกรณ์และโปรแกรมเสริมต่างๆจึงได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้ ipod ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เช่น เทคโนโลยี Podcast ที่สามรถสร้างรายการวิทยุ หรือบทเรียนในเชิงสนทนาและเพื่อให้ผู้สนใจดึงข้อมูลมาฟังได้จากอินเทอร์เน็ต โดยจะเปลี่ยนข้อมูลโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงของรายการ และส่วนเสริมนี้เองที่ทำให้ ipod ถูกมองว่าสามารถเป็นเครื่องมือช่วยในการศึกษาได้เป็นอย่างดีในอนาคต ในปีที่ผ่านมา ipod ที่เคยเป็นเครื่องเล่นเพลงจอขาวดำ ก็ได้พัฒนามาเป็นสามรถบันทึกและแสดงรูปภาพที่เป็นสีที่มีความละเอียดสูงได้ โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Ipod Photo ซึ่งในปีการศึกษาที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัย โดยแจกเครื่อง Ipod Photo ให้กับนักเรียนที่เข้าเรียนใหม่ทั้งหมดเป็นจำนวน 1650 คน เพื่อใช้ช่วยในการเรียนการสอนตามความสมัครใจและวิธีการของผู้สอนแต่ละคน หลังจากวัดผลสัมฤทธิ์เมื่อผ่านไป 1 ปีการศึกษา พบว่า Ipod Photo สามารถใช้ในการเรียนการสอน และช่วยในการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้ดีในวิชาที่เกี่ยวข้องกับ ดนตรี ภา และศิลปะ และคาดว่าการเรียนการสอนในวิชาอื่นๆก็จะสามารถนำ Ipod Photo มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ดีเช่นกัน และในการทดลองประจำปีต่อไปและในปีนี้ได้มีมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยเดร็กเซล (Drexel University) เริ่มทดลองใช้ Ipod Photo เพื่อการศึกษาเช่นกัน ถึงแม้ว่าการใช้ Ipod เพื่อประโยชน์ทางการศึกษาจะดูเหมือนสิ่งที่การศึกษารอคอยมานานและน่าจะประสพความสำเร็จในเชิงการใช้งานจริง จนผู้ให้ความคิดเห็นบางคนถึงกับกล่าวในเชิงที่ว่า “Ipod จะปฏิวัติรูปแบบการศึกษาใหม่ให้มีคุณภาพสูงขึ้น” แต่คำพูดและความมุ่งหวังดังกล่าวล้วนเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามานำเสนอเพื่อช่วยให้การศึกษาดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา วิทยุในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา หรือโทรทัศน์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เทป/วีดีโอเทปเมื่อ 10-15 ปี คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องในศตวรรษที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ เป็นตัวแทนแห่งความหวังที่จะใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเพื่อการศึกษาที่ดีกว่า แต่เทคโนโลยีนั้นต้องการเวลาอยู่มากเพื่อเข้ามามีบทบาทด้านการศึกษาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายหลังจาก 500 ปีผ่านมา วิทยุ/โทรทัศน์และสื่อบันทึกเพื่อการศึกษาที่เพิ่งเริ่มเป็นที่ยอมรับแต่ในวงจำกัด และถึงแม้คอมพิวเตอร์จะถูกใช้อย่างกว้างขวางในวงการศึกษา แต่การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการเรียนรู้กลับให้ผลที่ด้อยกว่าที่หวังไว้มากนัก และในวันนี้การเรียนการสอนหลักที่แพร่หลายที่สุด คือ การเรียนในห้องเรียนก็ยังมีลักษณะการเขียนและพูดแสดงเช่นเดียวกับครั้งเริ่มต้นของการเรียนรู้ของมนุษยชาติในอดีตกาล จากข้อมูลดังกล่าว ถึงแม้เทคโนโลยีทางการศึกษาจะก้าวหน้าต่อไป และมนุษย์ยังคงแสวงหาอุปกรณ์สื่อที่จะเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการปฏิวัติการศึกษาอีกครั้ง หลังจากเศษกระดูกและแผ่นหิน จนถึงหนังสือได้ประสพความสำเร็จเป็นตัวอย่างมาแล้ว แต่ปัญหาหลักที่เราควรถามตัวเราเองก่อนควานหาเทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านั้น คือ เทคโนโลยีที่ใหม่ล่าสุดในยุคดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะสามารถช่วยการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพในวงกว้างได้จริงและเร็วเท่าที่เราต้องการหรือไม่ บางที่เราควรย้อนกลับมาทำความเข้าใจกับระบบการเรียนการสอนแบบเก่าและเริ่มพัฒนาจากความเข้าใจดังกล่าว จะดีกว่าหรือไม่ สรุป การนำเอาเทคโนโลยี Ipod มาใช้นั้นเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เพื่อพัฒนาให้การศึกษาดีขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนาให้สมบูรณ์ก่อนนำมาใช้ในการเรียนการสอนแทนรูปแบบต่างๆดั้งเดิมที่มีมา ควรศึกษาถึงผลดีและผลเสีย และผลที่คาดว่าจะได้รับด้วย จะทำให้ระบบการศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ********************************