หลังปฎิรูปการศึกษาตาม พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ชาว ศธ. ที่เกี่ยวกับชาว สพฐ.หลายเรื่อง เช่น มีโครงสร้างกระทรวงที่แบ่งเป็น 5 แท่งและ 175 เขตการศึกษา(ตาม พรบ.ระเบียบ ศธ.2546) มี ก.ค.ศ. และอ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา 175 อ.ก.ค.ศ. (ตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) เป็นต้น
หลังจากปรับเข้าโครงสร้างใหม่ และปรับตามกฎหมายบริหารงานบุคคลแล้ว ในกาลต่อมาที่ดูแล้วน่าจะเรียบร้อยสวยหรูตามหลักวิชาต่างๆที่ผู้เยี่ยมยุทธ์สรรหามาจากทั่วโลก โดยใช้การวิจัยเป็นฐาน แต่ผลกลับไม่เนียนเหมือนอย่างที่กล่าวอ้าง ผู้เยี่ยมยุทธ์ก็พยายามหาเหตุผลมาอ้างและให้ความหวังต่อไปอีกว่า… “การปฎิรูปการศึกษาต้องใช้เวลา”
แต่ดูเหมือนว่าเวลายิ่งผ่านไปก็ยิ่งมีความระหองระแหงและมีคำถามต่างๆเกิดขึ้นมากมาย เช่น
“ทำไมผู้บริหารคนโน้นได้ลงตำแหน่งที่ดี แต่ทำไมคนนี้ไม่ได้ลงตำแหน่งบ้าง” แต่พอแก้ไขให้แล้วก็มีคำถามอีกว่า
"ทำไมรอง ผอ.สพท.จึงมีเยอะจัง”
“บุคลากรทางการศึกษาอื่น เมื่อไรจะได้ลืมตาอ้าปากเสียที”
“ทำไมจัดกรอบอัตรากำลังแต่ละครั้ง จึงทำให้คนแตกแยกกัน”
“ทำไม ศน.แต่ละเขตจึงกระจุก บางเขตก็กระจาย เบาบาง และยังช่วยโรงเรียนได้ไม่ทั่วถึงและหลายเขตยังไม่เป็นที่พึงพอใจแก่โรงเรียนเท่าที่ควร”
“เรื่องการกระจายอำนาจ การถ่ายโอนโรงเรียนไป อปท.จะเอายังไงกันแน่”
“โรงเรียนขาดครูกันมากมายจะแก้ไขกันอย่างไร”
“ทำไมเด็กปัจจุบันจึงด้อยทั้งความรู้และคุณธรรม”
“ครูร่วมแสนกว่าคนที่ผ่านการประเมินเป็นครูชำนาญการแล้ว ถามว่าเมื่อไรจะได้เงิน 3,500 บาท นี่ก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว”
"จะให้บทบาทแก่คณะกรรมการสถานศึกษาฯแค่ไหน จะให้กำหนดนโยบายดูแลในเชิงบริหารหรือเป็นแค่กรรมการที่ปรึกษา"
“ก.ค.ศ.จะทำอย่างไรถ้าครูชำนาญการแสนกว่าคนจะยื่นขอชำนาญการพิเศษพร้อมกันในเมษายน 2550 ของเก่าก็ยังประเมินไม่เสร็จ หลักเกณฑ์วิธีการที่สร้างมาอย่างฉุกละหุกก็ถูกวิพากษ์ว่ารับไม่ได้”
“ได้ข่าวว่า อ.ก.ค.ศ.เขตฯหลายแห่งถูกร้องเรียนว่าเล่นพรรคเล่นพวก ก.ค.ศ.คุมให้เกิดมาตรฐานกลางในเชิงปฏิบัติทั่วประเทศไม่ได้ สพฐ.ก็ไม่มี อ.ก.ค.ศ.พิทักษ์ธรรม จะทำอย่างไรดี”
“ได้ข่าวว่ากลุ่ม ผอ.สพท.เสนอให้เพิ่มเขตพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ขอให้แยกประถมกับ มัธยม 175 เขตให้ประถมไป แต่เพิ่มอีก 76 จังหวัด(เขต)เป็นของ เพราะถึงอย่างไรก็กลมกลืนกันยาก แล้วจะทำอย่างไรดี จึงจะ win win กันทุกฝ่ายและโรงเรียนกับเด็กได้ประโยชน์”
ฯลฯ
ทุกคำถามย่อมมีสาเหตุ แต่ที่ผ่านมาล้วนแก้กันที่ปลายเหตุแทบทั้งนั้น เพื่อให้รอดไปแต่ละเรื่อง พอแก้เรื่องหนึ่งก็เกิดอีกหลายปัญหาตามมาอีก ยิ่งแก้ก็เหมือนลิงแก้แห
ตามหลักอิทัปปัจยตา ถือว่าทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุจากปัจจัย ถ้าแก้ที่สาเหตุสำคัญปัญหาก็จะหมดไป
ตอนนี้เปลี่ยนแผ่นดินใหม่แล้ว เป็นโอกาสอันดีที่น่าจะทบทวนแก้ที่สาเหตุสำคัญกันดีไหม จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกันในเรื่องประโยชน์ของกลุ่มตน เด็กตาดำดำจะได้รับโอกาสอย่างเต็มที่เสียที...
ไม่มีความเห็น