ในช่วง “เรื่องเล่าเร้าพลัง กิจกรรมส่งเสริมการให้ในโรงเรียนที่ประทับใจมิรู้ลืม”มาดูผลการให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันโดยใช้เทคนิคเรื่องเล่าเร้าพลัง (storytelling) คือการให้คุณครูแบ่งเป็นกลุ่มย่อย 4 กลุ่ม ในกลุ่มให้ครูแต่ละคนเล่าเรื่องกิจกรรมการให้เพื่อสังคมในโรงเรียนที่ตัวเองภาคภูมิใจ ประทับใจมากที่สุด และให้กลุ่มเลือกเรื่องที่ประทับใจมากที่สุดมาให้ตัวแทนมานำเสนอในที่ประชุมใหญ่
จ๊ะจ๋าพบว่ากลุ่มครูนักปฏิบัติรู้สึกสนุกสนานในช่วงนี้มาก มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจหลายเรื่องจากหลากหลายพื้นที่ หลากหลายบริบท ซึ่งจากเรื่องเล่าทั้งหมด ใน 4 กลุ่มได้เลือกเรื่องที่ตนประทับใจ มาได้ทั้งหมด 4 เรื่อง จาก 24 คน ดังนี้
1) การบรรพชาสามเณร 60 ปี 60 ล้านความดีถวายในหลวง - โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ กรุงเทพฯ
จากเดิมเด็กนักเรียนหลายคนเป็นเด็กเกเร โดยเฉพาะชั้น ม.3 จึงมีแนวคิดกิจกรรมการบรรพชาสามเณรขึ้น และได้ประชุมร่วมกันทุกฝ่ายในโรงเรียน เรียกเด็กที่มีปัญหามาชักชวนให้บวชถวายในหลวงในโอกาสที่ทรงครองราชย์สมบัติครบ 60 ปี และมีแนวคิดว่า พระก็น่าจะช่วยกล่อมเกลาเด็กได้ โดยขอความร่วมมือ และการสนับสนุนจากผู้ปกครองและสาธารณชน ซึ่งได้การตอบรับอย่างล้มหลามมากกว่า 100,000 บาท จึงเกิดการประสานระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน ซึ่งตอนแรกตั้งเป้าไว้ 60 คนและมีเด็กเข้าร่วมสมัครถึง 90 คน มีการบรรพชาสามเณรในวันที่ 11 สิงหาคม เป็นเวลา 3 คืน ในพิธีบวชมีการแห่เณรไปรอบตลาดมีนบุรี ทำให้ชาวบ้านประทับใจที่โรงเรียนเอาเด็กดื้อเด็กร้ายมาบวชได้ หลังสึกเด็กบางคนมีพฤติกรรมดีขึ้น บางคนก็เหมือนเดิม หลังจากนั้นต่อมาก็มีการเชิญพระมาอบรมเด็กที่โรงเรียนด้วย
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ ศาสนาช่วยมากในการกล่อมเกลาเด็ก แต่ต้องอย่าให้เด็กคิดว่าศาสนาเป็นเรื่องโบราณ
2) โครงการพัฒนาเยาวชนช่วงปิดภาคเรียน โรงเรียนบางลี่วิทยา
จากเดิม ราวร้อยละ 60 ของเด็กนักเรียนที่โรงเรียนมีปัญหาเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันสมควร มีเด็กหญิงเป็นแม่เล้า และปัญหาใช้ยาเสพติด ส่วนหนึ่งมีพ่อแม่ติดคุกหรือแยกทางกันจึงได้มีแนวความคิดที่จะชวนเด็กทำค่ายพัฒนาตนเองเพื่อแก้ปัญหา โดยให้เด็กไปคิดรายละเอียดเอง เช่น เลี้ยงอาหารไหม พักค้างคืนหรือไม่ และโรงเรียนไม่มีเงินสนับสนุนแต่ให้แง่คิดเด็กว่า ถ้าไม่พึ่งตนเองจะให้ผู้อื่นช่วยได้อย่างไร เด็กจึงเก็บเงินกันเอง 6 เดือนหยอดกระปุกอย่างน้อยวันละ 5 บาท และเด็กมีข้อสรุปจากประสบการณ์ว่าเก็บเงินไว้ที่บ้านไม่ได้ ผู้ปกครองเอาไปใช้หมด เมื่อมีทุนเบื้องต้นแล้วจึงเขียนโครงการขึ้นมาให้สอดคล้องเอาไปเสนอโรงพยาบาล ตำรวจ ฯลฯ ให้สนับสนุนส่งคนมาเป็นวิทยากร ส่วนครูให้แง่คิดเสริมแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร หรือวัดพระบาทน้ำพุ ไปให้กำลังใจผู้ติดเชื้อเอดส์ เนื่องจากครูเคยไปเองมาก่อน การไปให้กำลังใจนี้ถือส้มลูกเดียวติดมือเข้าไปคุย กิจกรรมนี้ดำเนินมาได้ 4 ปีแล้ว และปี 2549 เป็นปีที่ห้า ซึ่งการระดมทุนนี้ เด็กเป็นคนคิดเองด้วยการขอบริจาคจากบุคคลทั่วไป โดยเดินจากบ้านมาโรงเรียน มีนักเรียนเข้าค่ายราว 200 คน และจากประสบการณ์ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านงบประมาณจากทางโรงเรียนและหน่วยงานราชการอื่นๆ จึงมีความคิดที่จะแก้ไข ด้วยการแนะนำให้เด็กขอเรี่ยไรเงินมาตลอด 5 ปีแล้ว ทางโรงเรียนเริ่มให้ความสนใจในโครงการนี้มากขึ้น และเด็กในโรงเรียนก็จัดทำของขวัญเอาไปเยี่ยมเด็กกำพร้าเอดส์ที่วัดบางม่วงเองด้วย
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ
3) โครงการเพชร ส.น. โรงเรียนสองพี่น้องวิทยา จ.สุพรรณบุรี
จากเดิมเกิดจากอาจารย์วันชัย สวัสดิ์ทิพย์ เป็นการฝึกภาวะผู้นำให้เด็ก ในกลุ่มมีเด็กราว 30 คน(ตอนแรกมีมากกว่านี้ แต่ออกไปบ้าง) ฝึกจนเด็กสามารถทำได้เองโดยอาจารย์ไม่ต้องอยู่ด้วย คุณสมบัติของเด็กที่มาเป็นสมาชิกคือ ต้องศรัทธาผู้ก่อตั้ง ศรัทธาแนวคิด และเสียสละแรงกายและทุนทรัพย์ เด็กเหล่านี้ทำงานบริการชุมชน งานอนุรักษ์ท้องถิ่น ขุดลอกผักตบชวาจากคลอง และจัดงานปีใหม่ที่ชัยภูมิเอาของขวัญไปให้เด็กชนบท จัดทุกปีจนเกิดความผูกพันกัน โดยเด็กออกค่าเดินทางและขอของที่จะเอาไปบริจาคให้เด็กด้วยตนเอง
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ4) โรงเรียนดีวิถีพุทธ โรงเรียนวัดพรหมสาคร
จากเดิมโรงเรียนมีเด็กนักเรียน 1000 กว่าคน ไม่มีระเบียบวินัย เข้าแถวช้า ครูหลายคนไม่มาคุมแถวกิจกรรม จึงมีแนวคิดกิจกรรมหน้าเสาธง ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี 2549 ตามคำแนะนำของผู้อำนวยการ(หลังจากครูย้ายมาจาก จ.อยุธยา) โดยนำหลักพุทธศาสนาซึ่งประกอบด้วยไตรสิกขา และมรรค 8 มาบูรณาการในการเรียนการสอนให้รักกิจกรรมต่างๆ ปลูกฝังจนเป็นพฤติกรรมที่ถาวร มีทำความสะอาดห้องก่อน มาเข้าประจำที่หน้าเสาธง การประกวดมารยาท ฯลฯ แล้วากล่าวชมเชยหน้าเสาธง ผู้บริหารรู้จักให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้วยกัลยาณมิตร เอาใจใส่ครูนักเรียน นำศาสนามาให้นักเรียน ให้รู้ว่าทำดีได้ดี มีการจัดทำรางวัลให้นักเรียนที่ทำความดีเด่น จัดวารสารให้นักเรียนที่ทำความดีได้ดีเด่น ทำคู่มือโครงการแจกทุกชั้น และมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงนี้คือ
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะของพลังแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เสริมด้วยบรรยากาศสบายๆ ภายใต้ความพร้อมที่จะเรียนรู้และเปิดใจให้แก่กันและกัน เรื่องเล่าถ่ายทอดผ่านด้วยน้ำเสียงแห่งความภาคภูมิใจ ความชื่นชมที่ลูกศิษย์รังสรรค์กิจกรรมด้วยความสมัครใจ ถ่ายทอดมาเป็นคำพูดผ่านโสตประสาทของผู้ฟัง ผนวกกับการซักถามด้วยความสนใจ อยากรู้อยากเห็น ยิ่งเร่งเร้าให้ผู้เล่าอยากจะเล่ามากขึ้น นี่คือ Tacit knowledge หรือ ความรู้ฝังลึกที่ถูกปลดปล่อยออกมา บ่งบอกถึงจิตวิญญาณของผู้เล่าที่พร้อมจะเล่าและเปิดใจในการถ่ายทอดความรู้ฝังลึกออกมา ผู้ฟังก็ต้องพยายามจะจับกลเม็ด เด็ดพลายนี่ ดั่งนั้น ในวันนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยการตั้งใจฟังอย่างมาก ซักถามกันมาก จนหมดเวลาแล้ว ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า เวลาหมดเร็วจัง จนไม่รู้ตัว
มาดูรูปกันดีกว่า...
ตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องเล่ากันอย่างตาไม่กะพริบ
มุมสบายของกลุ่มนี้ เสร็จแล้วนั่งพักผ่อนดีกว่า
ส่งตัวแทนของกลุ่มมานำเสนอเรื่องเล่าที่ประทับใจที่สุดภายในกลุ่ม
น่าประทับใจทุกเรื่องเลยค่ะ
และอยากให้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาก ๆ นะคะ ซึ่งคงจะช่วยลดปัญหาสังคมได้มากทีเดียวหล่ะ