ห้าปีผ่านไปแล้ว งานของแกยังวน ๆ อยู่กับเรื่องความเหงาเหมือนเดิม
วันเวลาผ่านแล้ว ก็ผ่านอีก อย่างน้อย แกก็ยังทำให้ "ที่นี่" กลายเป็น "ที่อื่น" ได้แล้วนะ
ดีใจกับแกจริง ๆ
เวียดนาม: ท่วงทำนองจากภูเขาถึงทะเล....
“He climbed his horse , She let go of his gown- autumn was tinging maple woods with gloom.
And off he rode as clouds of dust swirled up , to vanish past all those green mulberry groves.
She walked back home to face the night alone ,
and by himself he fared the long , long way . Who split the lover’s moon ? Half stayed and slept by her lone pillow , half lit his far road .” by Nguyen Du จุดหมายของวันแรกของเรานั้นยังไม่ใช่การเดินทางตรงสู่เวียดนามเพราะการที่เราต้องเดินทางเป็นระยะทางกว่า๒,๐๐๐ กิโลเมตรนั้นช่างเป็นหนทางที่ดูยาวนานเหลือเกิน เราแวะพักที่มุกดาหารหนึ่งคืนเพื่อที่จะเดินทางข้ามโขงไปยังจังหวัดสะหวันเขต ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หลังจากนั้นจึงเดินทางด้วยรถบัสไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษลาวบาว ซึ่งจุดนี้เองหลังจากแวะรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วทุกคนต่างทยอยแลกเงินเป็นเงินเวียดนามซึ่งเรียกว่าเงินโด่ง ( ๑บาทเท่ากับ ๓๘๕ โด่ง ) การแลกเงินครั้งนี้ทำให้พวกเรากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านไปตามๆกันเลยทีเดียว ผ่านเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ไกด์ชาวเวียดนามเล่าให้ฟังว่ามีนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุน ตั้งโรงงานผลิตสินค้ากันหลายชนิดเลยทีเดียว และธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตมากในเวียดนามตอนนี้น่าจะได้แก่การผลิตชิ้นส่วนของรถมอเตอร์ไซด์ เหตุเพราะชาวเวียดนามทุกครัวเรือนต่างใช้มอเตอร์ไซด์เป็นพาหนะกันแทบทั้งนั้น สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งหลังจากแค่ข้ามภูเขาจากลาวมายังเขตเวียดนามแล้วนั้นก็คือ ลักษณะภูมิประเทศของทั้งสองประเทศนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาจจะกล่าวได้ว่าพอเราเดินทางออกจากจังหวัดสะหวันเขตซึ่งถือว่าเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของลาวที่อาจารย์ให้ข้อสังเกตว่าตอนนี้ปรับปรุงดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเราก็จะพบกับ ที่ราบสูงที่ค่อนข้างแห้งแล้ง การขาดแคลนระบบการชลประทานที่ดีและไม่มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์มากนัก ทำให้มีพื้นที่การเกษตรค่อนข้างจำกัด ส่วนใหญ่ประชาชนที่อาศัยแถบนี้เป็นชาวเขาเสียส่วนใหญ่ แต่พอเราข้ามเขามายังเขตเวียดนามแล้ว ภูมิทัศน์ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเพราะเราจะเห็นความอุดมสมบูรณ์ของดิน ป่าไม้และแม่น้ำสีเขียวคล้ายหยกที่มีปริมาณน้ำเต็มฝั่ง เพราะเหตุที่เวียดนามมีพื้นที่แคบสองข้างขนาบด้วยทะเลและภูเขาและเมื่อความชื้นจากทะเลลอยขึ้นมาก็จะเจอกับแนวปะทะของภูเขาทำให้มีฝนชุกตลอดปี ไกด์ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เวียดนามกำลังมีโครงการที่จะสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำจากแม่น้ำสายนี้ เห็นจะเป็นไปได้มากทีเดียวถ้าพิจารณาจากความแรงของกระแสน้ำ เราผ่านความเขียวขจีของพืชพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ในเขตหุบเขา จนเริ่มเข้าเขตเมืองเพราะเริ่มเห็นบ้านเรือนทรงเวียดนามกระจายตัวอยู่ประปราย บ้านทรงเวียดนามนั้นเป็นที่ประทับใจใครหลายๆคนเพราะมีรูปลักษณ์ที่แปลกตา ส่วนใหญ่แล้วจะมีลักษณะหน้าแคบเหตุผลเพราะที่ดินในเวียดนามมีราคาแพงดังนั้นถ้าต้องการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยชาวเวียดนามก็จะสร้างบ้านให้สูงขึ้น ๓ หรือ ๔ ชั้นดูคล้ายๆกับตึกแถวบ้านเรา แบบบ้านหรือการตกแต่งก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมหรือความชอบอาจจะเป็นแบบเวียดนามแท้หรือจะผสมผสานกับแบบฝรั่งเศส ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่คนจะนิยมบ้านสีเหลืองอ่อน แต่เราก็ยังพบสีอื่นๆด้วย เช่น เขียว ชมพู ฟ้า เป็นต้น เขตเมืองที่เรามาถึงตอนนี้คืออำเภอ ดองฮา อยู่ในเขตจังหวัดกวางจิ (ไกด์บอกว่า อ่านกวางตริในภาษาอังกฤษแต่ภาษาเวียดนามเรียก กวางจิ) พืชพันธุ์แถบนี้นั้นส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นพืชพวกกาแฟ พริกไทย ซึ่งดองฮาเป็นแหล่งปลูกพริกไทยที่สำคัญเพราะสภาพภูมิอากาศอำนวยแต่ตอนนี้ราคาพริกไทยไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ นอกจากนั้นพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่คือการทำนาข้าวซึ่งการทำนาข้าวของเวียดนามนั้นสามารถทำนาได้ตลอดปี ตอนที่พวกเราไปถึงนั้นเป็นฤดูหว่านไถอีกรอบหนึ่งพอดี ต่างจากการทำนาของไทยที่สามารถทำได้แค่ปีละสองครั้งเท่านั้นแถมพื้นที่ก็ยังจำกัดอีกด้วย นึกเปรียบเทียบอย่างนี้แล้วเราอาจจะเสียแชมป์ในการส่งออกข้างเป็นอันดับหนึ่งของโลกในเร็ววันนี้ก็ได้ เหตุที่ว่าแค่ที่เห็นประจักษ์ตาเป็นเขตตอนกลางของเวียดนามเท่านั้นยังไม่นับรวมถึงเขตเวียดนามใต้หรือเขตแม่โขงเดลตาที่เป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามก็ดูเหมือนว่าจะมีที่นามากกว่าภาคเหนือทั้งภาครวมกันเสียอีก เย็นมากแล้วที่เราได้เดินทางมาถึงเว้ เขตราชธานีเก่าที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นที่ประทับของจักรพรรดิ์เบาด่าย จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของเวียดนามก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และยังเป็นเมืองแห่งกวีที่มีชื่อเสียง บ้างก็ว่าเพราะความสวยงามของแม่น้ำหอมทำให้กวีมีสุนทรียะในการผลิตกวีนิพนธ์ แม่น้ำหอมหรือที่คนเวียดนามเรียกว่า”ซงเฮือง”เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านใจกลางเมืองเว้ อาจจะเปรียบได้กับแม่น้ำปิงของเชียงใหม่หรือเจ้าพระยาในภาคกลางของไทย เหตุที่ได้ชื่อว่าแม่น้ำหอมนั่นก็เพราะเส้นทางที่แม่น้ำไหลผ่านจะต้องผ่านหุบเขาที่มีดอกไม้กลิ่นหอม และเมื่อดอกไม้นั้นได้ร่วงหล่นในลำน้ำก็ทำให้แม่น้ำพัดพากลิ่นหอมมาจนถึงเมืองเว้ด้วย จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ การจราจรในเมืองเว้เป็นอย่างที่เคยได้ยินคือกองทัพจักรยานยนต์ที่จะบีบแตรตลอดทางเพื่อให้สัญญาณ เพราะชาวเวียดนามจะไม่เปิดไฟเลี้ยวทั้งยังไม่ค่อยมีสัญญาณจราจรตามสี่แยกมากเท่าไหร่นักและที่ต่างจากบ้านเราคือชาวเวียดนามไม่ต้องสวมหมวกกันน๊อคแต่สวมเมื่อออกนอกเมืองเท่านั้น ต่อมาภายหลังเราถึงได้ตระหนักถึงความอันตรายของการจราจรที่นี่เมื่อเกิดความยากลำบากในการข้ามถนนเป็นอย่างมาก รุ่งขึ้นในวันที่สองเราออกเดินทางแต่เช้าเช่นเคยเพื่ออกเดินทางไปชมเจดีย์เทียนหมุ สัญลักษณ์และศูนย์กลางของพุทธศาสนาคู่เมืองเว้ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เจดีย์เทียนหมุเป็นเจดีย์เจ็ดชั้นที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมจากจีนผสมผสานกับความเชื่อของพุทธศาสนามหายาน อย่างลงตัวนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาแล้วเทียนหมุยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและอำนาจอีกด้วย เมื่อเราเดินไปทางด้านในจะเห็นรถออสตินสีฟ้าซึ่งเป็นรถที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่พระภิกษุกวางซุกจากเทียนหมุเผาตัวเองเพื่อประท้วง หลังจากชมความงามของเจดีย์เทียนหมุแล้วเราออกเดินทางมุ่งหน้าไปเมืองฮอยอันเมืองเก่าที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก และระหว่างทางได้แวะชมพิพิธภัณฑ์จามที่เมืองดานัง ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมประติมากรรมศิลปะของอาณาจักรจามที่เคยรุ่งเรืองในบริเวณนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อน ศิลปะของจามรับใช้ความเชื่อในศาสนาฮินดู ซึ่งจะเห็นจากประติมากรรมที่สลักรูปของเทพเจ้า เช่น พระวิษณุ พระพิฒเนศ พระนางอุมา ซึ่งปรากฏในหลายลักษณาการณ์ รวมไปถึงสัญลักษณ์ของการก่อกำเนิดและความอุดมสมบูรณ์นั่นคือ ศิวลึงค์และฐานโยนี ที่อาจารย์สุรสวัสดิ์ได้กรุณาให้ความรู้ว่าเป็นส่วนที่สมบูรณ์และสวยงามที่สุด เมื่อเราเดินชมงานศิลปะที่มีอายุหลายร้อยปีอยู่ในพิพิธภัณฑ์นั้นเหมือนกับเราได้ย้อนวันเวลาไปสู่ยุคที่อิทธิพลของอินเดียแทรกซึมและเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนนี้มาตั้งแต่โบราณกาล อาจจะเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าทำไมอารยธรรมอินเดียจึงแผ่ขยายและรุ่งเรืองในเขตพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลของจีน แต่ในเวลานั้นอาณาบริเวณต่างๆไม่เคยมีการเรียกว่าพื้นที่นี้เป็นของประเทศใดมาก่อนแต่เรียกว่านี่คือเขตของอาณาจักรนั้นๆ แต่หลังจากมีการปักปันเขตแดนตามความรับรู้ในความหมายของ”พื้นที่”ของภูมิศาสตร์สมัยใหม่แล้ว ก็เกิดประเทศต่างๆขึ้นเช่นกัมพูชา หรือ เวียดนาม และทำให้เกิดความสับสนระหว่างความเป็นจริงคือ ผู้คน วิถีชีวิต ความเชื่อ และสิ่งที่ถูกสมมุติขึ้นเช่น เส้นเขตแดน อย่างที่เกิดกรณีของขแมร์กรอม ในเวียดนาม แต่หากเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ ก็เหมือนเราก้าวสู่อีกโลกหนึ่งเช่นกันคือโลกของการเร่งการพัฒนาทางวัตถุ เร่งการพัฒนาความเจริญอย่างเต็มสปีดของเมืองดานัง เมืองท่าแห่งใหม่ที่เวียดนามสร้างให้เป็นแหล่งศูนย์กลางการค้าและ การสร้างท่าเรือน้ำลึกรองรับการขนส่งทางเรือที่คาดว่าจะเติบโตสุดขีดในอีก๕ ปีข้างหน้า ดานังในวันนี้ไม่ใช่ทะเลความหวังในการแสวงหาดินแดนใหม่ของบรรดา”โบ๊ทพิเพิล” อีกต่อไปแต่หากเป็นทะเลที่จะทำให้เวียดนามมีความเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตและโดยหลักการนั่นหมายถึงการกินดีอยู่ดีของประชาชน สิ่งที่รองรับการขยายตัวนี้ไม่ใช่เพียงแต่ราคาที่ดินที่ขยับตัวสูงขึ้นเท่านั้นแต่หากมีการสร้างอภิมหาภัตตาคาร และ สถานบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้อีกด้วย เจ...เพื่อนของเราคนหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่าจากที่เวียดนามเคยอยู่ในกรอบของสังคมนิยมมาตลอดจะเกิดอะไรขึ้นกับเวียดนาม หลังจากคลื่นลมของทุนนิยมพัดโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฮอยอันเมื่อยามที่เราไปถึงนั้นปกคลุมไปด้วยสายฝนทำให้ทัศนวิสัยไม่ชัดเจนนัก แต่เพราะความที่เป็นเมืองเก่าที่ตึกรามบ้านช่องถูกอนุรักษ์คงไว้ในไว้ในสภาพเดิม เราจึงไม่เห็นตึกสมัยใหม่ให้เป็นที่รกตาเลย แม้แต่โรงแรมที่พักก็ยังตกแต่งแบบเวียดนามที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจเมื่อไปถึง บรรยากาศยามค่ำคืนของฮอยอันนั้นค่อนข้างเงียบเหงา อาจเป็นเพราะฝนตกประการหนึ่งหรืออาจเพราะส่วนใหญ่เป็นอาคารร้านค้าแต่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของชาวฮอยอันจริงๆก็เป็นได้ แต่ยามเช้าที่นี่กลับมีบรรยากาศคึกคักและถึงแม้ฝนจะตกโปรยปรายแต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อคนที่นี่พวกเขายังใช้ชีวิตตามปกติ นอกจากความสวยงามของบ้านเรือนแบบเก่าที่เรียงรายทั้งสองข้างทางแล้วจุดเด่นอีกอย่างก็คือสะพานญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเคยแบ่งเป็นย่านชาวญี่ปุ่นและย่านชาวจีน ส่วนใหญ่ร้านค้าในเมืองฮอยอันจะมีสินค้าประเภทเสื้อผ้า ,รองเท้าและของที่ระลึกเช่น กระเป๋า,โคมไฟ เป็นต้น สองชั่วโมงหลังจากนั่งรถกลับมาที่เว้อีกครั้งเพื่อที่จะมาชมความยิ่งใหญ่ของสุสานไคดิงห์ สถานที่สำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนนอกจากจะมีความสวยงามและความยิ่งใหญ่แล้วสุสานนี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของจักรพรรดิไคดิงห์พระบิดาของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนามนั้นยังมีความประณีตและละเอียดอ่อนของงานศิลปะในงานตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบที่วิจิตรพิสดารอีกด้วย สัญลักษณ์ที่จะเห็นอยู่ทั่วไปในสุสานหรือแม้แต่สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิก็คือการประดับลายมังกรและก้อนเมฆ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนจักรพรรดินั่นเอง และค่ำคืนนี้เป็นคืนพิเศษที่จะได้มีโอกาสล่องเรือแม่น้ำหอมพร้อมกับได้ชมการแสดงดนตรีพื้นเมืองของเมืองเว้ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเมื่อได้รับชมนั้นทำให้ตระหนักถึงสิ่งที่เรียกว่าดนตรีตามความหมายของดุริยศิลป์ว่า ดนตรีเป็นผลมาจากกระบวนการพฤติกรรมของมนุษย์ที่สร้างขึ้นจากคุณค่า,ทัศนคติและความเชื่อของผู้คนในแต่ละวัฒนธรรม เสียงดนตรีจะไม่สามรถเกิดขึ้นเองได้นอกจากการที่คนกลุ่มหนึ่งผลิตเพื่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะแยกดนตรีได้เป็นสองส่วนคือเสียงและวัฒนธรรม แม้กระนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งก็มิอาจสมบูรณ์ได้โดยที่ปราศจากอีกส่วนหนึ่ง ดนตรีของเวียดนามก็เช่นกันที่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากคุณค่า,ทัศนคติ,ความเชื่อของชาวเวียดนามจนกลายเป็นสิ่งสะท้อนวัฒนธรรมที่มีมาช้านาน ชาวเวียดนามมักจะร้องเพลงในทุกโอกาสไม่ว่าจะทำงานหรือในเวลาว่างก็ตามเพลงพื้นเมืองของเวียดนามมีลักษณะมีชีวิตชีวา , มีท่วงทำนองและจังหวะเร็วและเปิดเผยซึ่งสะท้อนถึงบุคลิก ลักษณะนิสัยของชาวเวียดนามเอง เมื่อพูดถึงกำเนิดของดนตรีเวียดนามนั้นก็อาจจะอ้างอิงได้จากการค้นพบในปี ๑๙๒๔ ในเวลานั้นนักโบราณคดีได้ขุดค้นในหมู่บ้านดองเซิน และสิ่งที่ขุดค้นได้ก็คือกลองทองแดงและเหรียญซึ่งแกะสลักรูปผู้ชายสองคนซึ่งคนหนึ่งขี่หลังอีกคนหนึ่งพร้อมทั้งเล่นKnene ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ทำจากเครื่องเป่าคล้ายฟลุ๊ตหลายๆอันผูกติดกัน ในขณะที่อีกคนหนึ่งถือลูกกลมๆทำจากไม้ใช้เป็นเครื่องเคาะจังหวะ เราอาจจะกล่าวได้ว่าเวียดนามมีเครื่องดนตรีพื้นเมืองของตนเองมาก่อนคริสตกาลเสียอีก จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ ๒ ถึง ๑๐ นั้นดนตรีเวียดนามได้รับอิทธิพลจากจีน โดยเฉพาะดนตรีทางภาคเหนือของเวียดนาม สิ่งที่ต่างไปจากดนตรีตะวันตกคือดนตรีจีนจะมีโทนเสียง ๕ เสียง และจะบรรยายถึงคามรักชาติ เนื้อเพลงจะเกี่ยวกับการสร้างจิตวิญญาณของชาติ และมีท่วงทำนองที่มีชีวิตชีวาและมองโลกในแง่ดี ส่วนดนตรีทางภาคกลางนั้นจะเป็นบทเพลงที่ร้องในเรือขณะที่พายในแม่น้ำหอม เนื้อเพลงส่วนใหญ่จะบรรยายถึงการสดุดีวีรบุรุษของชาติ และเพลงพื้นเมืองนี้เป็นที่นิยมกันมาก ผู้ที่ประพันธ์ขึ้นก็คือ Luong Dang ขุนนางจีนในสมัยราชวงศ์ Le ซึ่งมีที่มาจากดนตรีระบบ ๕ เสียงซึ่งเป็นที่นิยมในวังสมันราชวงศ์หมิงของจีน และดนตรีพื้นเมืองนี้จะใช้แสดงในวังของราชธานีเว้ ซึ่งดนตรีราชสำนักนี้แบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่และขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะแสดงด้วย เช่น ดนตรีชั้นสูงของ Nam Gio เป็นดนตรีที่ใช้ในพิธีบูชายัญวิญญาณแด่สวรรค์และโลกมนุษย์ซึ่งจะแสดงทุกๆปี (หลังจาก ปี๑๘๘๘) ณ. แท่นบูชาที่เรียกว่าสนามแห่งสวรรค์ซึ่งอยู่ห่างจากพระราชวังเว้ไปทางใต้ประมาณ ๓ กิโลเมตร ในพิธีนี้จักรพรรดิเสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีในการบูชายัญสัตว์จำนวน ๑๐๐ ตัว แต่อย่างไรก็ตามเรื่องราวของพิธีนี้ยังคงเป็นสิ่งลึกลับ (พิธีนี้ห้ามผู้หญิงและประชาชนทั่วไปเข้าร่วม) บางทีพิธีกรรมบูชายัญนี้อาจเป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญที่สุดที่จักรพรรดิเวียดนามทรงปฏิบัติ ดนตรีราชสำนักจะออกแสดงในโอกาสอื่นๆด้วยเช่น โอกาสครบรอบวันสวรรคตของจักรพรรดิ และใช้ในพิธีกรรมในวัดขงจื้อโดยเฉพาะในวันสุริยุปราคาและวันจันทรุปราคาเพราะมีความเชื่อที่ว่าการเล่นดนตรีจะช่วยให้พระอาทิตย์หรือพระจันทร์กลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่ง มีการบันทึกจดหมายเหตุเกี่ยวกับดนตรีราชสำนักที่เขียนขึ้นในอักษรจีนจนถึงค.ศ ๑๙๑๔ เมื่อจักรพรรดิองค์สุดท้ายได้สละราชสมบัติ หลังจาก ค,ศ ๑๙๔๕ ดนตรีราชสำนักได้เสื่อมลงพร้อมๆกับการเสื่อมสลายของราชสำนักเว้ ส่วนดนตรีทางใต้นั้นได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียผ่านอารยธรรมของอาณาจักรจามปา และดนตรีทางใต้นั้นมีถึง ๙ โทนเสียง ๕ เสียงแรกได้รับการปรับเปลี่ยนจากจีนและมีการเพิ่มขึ้นใหม่อีก ๔ เสียง ดนตรีทางใต้จะมีท่วงทำนอง ครุ่นคิด ,เศร้าสร้อยและโศกเศร้า เครื่องดนตรีของเวียดนามนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยเครื่องดนตรี ๕ ชิ้น คือ nhi , tranh , nguyet , ty และ tam เรียกว่าการรวมตัวของ ๕ สมบูรณ์แบบเครื่องดนตรีเหล่านี้อาจจะดูเป็นองค์ประกอบที่ธรรมดาแต่กลับสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างจับใจผู้ฟัง Nhi หรือ dan nhi เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายเครื่องดนตรีจีนคือ erhu และคล้ายซอด้วงของไทยมีเสียงสูงต่ำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะและมีเสียงที่มีความชัดเจน nhi ประกอบด้วยสาย ๒ สาย ขึงบนกล่องเสียงที่มีลักษณะยาว สาย ๒ สายนี้ทำมาจากไหมถัก และที่หุ้มกล่องเสียงนั้นทำมาจากหนังงู แต่ในปัจจุบันนั้นเครื่องสายแบบนี้จะทำมาจากลวดและกล่องเสียงไม้ เวลาเล่นจะวางไว้บนเข่าของนักดนตรี Dan tranh เป็นเครื่องสายที่มีลักษณะคล้ายพิณซึ่งมี ๑๖ สายและยาวประมาณ ๔๐ นิ้วหรือ ประมาณ ๑๐๐ เซนติเมตร ใช้ทั้งเป็นเครื่องดนตรีเล่นเดี่ยวและเล่นเป็นวง เครื่องดนตรีชนิดนี้ประดิษฐ์ขึ้นโดยจักรพรรดิ Phuc Hi ของจีน ในปัจจุบัน dan tranh เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและเป็นเครื่องดนตรีที่นักเรียนหญิงชาวเวียดนามเลือกเรียน Kim หรือ dan nguyet มีลักษณะคล้ายกีตาร์มีลักษณะค่อนข้างยาว มีวิธีการจับเหมือนกีตาร์ ประกอบด้วยสาย ๒ สายซึ่งมีเสียงที่นุ่มนวล Ty หรือ dan ty ba มีลักษณะคล้าย pipa เครื่องดนตรีทรงน้ำเต้าของจีน มี ๔ สายและมีกล่องเสียงค่อนข้างแคบ Tam หรือ dan tam เป็นกีตาร์ ๓ สาย มีลักษณะคล้ายsanxian ของจีน นอกจากเครื่องดนตรี๕ สมบูรณ์แบบแล้วเครื่องดนตรีอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากเช่นกันคือ dan bau เป็นพิณน้ำเต้าสายเดี่ยวแบบโบราณ เสียงของbau นี้มีเสน่ห์มากจนกระทั่งมีคำกล่าวที่ว่า ให้ผู้หญิงระวังผู้ชายที่เล่น dan bau ให้ดีเพราะมิเช่นนั้นแล้วอาจจะตกหลุมรักนักดนตรีโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากลัทธิขงจื้อมีอิทธิพลในสังคมเวียดนาม และความเชื่อของขงจื้อนั้นเชื่อว่าดนตรีควรที่จะสร้างสรรค์เพื่อการจรรโลงสังคมและนำสันติสุขมาสู่หัวใจประชาชน และเช่นเดียวกับศาสนาที่จะต้องมีบทบาทในกรสร้างระเบียบวินัยให้กับสังคม โดยที่อนุรักษ์และคงไว้ซึ่งกฏ ระเบียบของสังคม การมีมารยาทที่ดีและเคารพประเพณีของตน และภายใต้กรอบประเพณีเช่นนี้ทำให้การละครบรรจุบทเพลงไว้ไม่มากนัก และปรับใช้ในแต่ละโอกาส เช่น การแสดงดนตรีเพื่อราชวงศ์ , พิธีกรรมทางศาสนา และพิธีฝังศพ ผลกระทบของความทันสมัยที่เข้ามาในปัจจุบันก็เกิดความวิตกกังวลว่าจะทำให้ดนตรีดั้งเดิมนั้นสูญหายไป แต่โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะดนตรีแบบเก่ายังคงได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไปถึงแม้ว่าคนรุ่นใหม่นิยมเพลงตะวันตกมากขึ้น เพราะผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ก็คือโรงเรียนดนตรีแห่งชาติ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ผลิตผู้ประพันธ์เพลง และ ศิลปินรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน ในขณะที่เรารับชมเพลงพื้นเมืองของเว้ที่บรรเลงโดยเครื่องดนตรีสามชิ้นซึ่งคาดว่าน่าจะเป็น dan nguyet มีลักษณะเหมือนกีตาร์แต่มีสายเพียงสองสาย , Dan tranh มีลักษณะคล้ายพิณมี๑๖ สาย และสุดท้ายคือ Dan bau ที่รู้ก็เพราะว่าเห็นมีไม้รูปทรงคล้ายเขาควายอยู่ด้านหนึ่งของเครื่องดนตรี และมีการขับร้องโดยนักร้องสาวสี่คนแต่งกายชุดประจำชาติแต่เป็นแบบเมืองเว้ซึ่งต่างจากภาคเหนือและภาคใต้ เสียงร้องประกอบกับการแสดงดนตรีทำให้คิดคลับคล้ายคลับคลาไปถึงเพลงซอของภาคเหนือที่นับวันจะหาชมได้ยากขึ้นทุกที และคาดว่าคนรุ่นใหม่ปัจจุบันมีไม่กี่คนที่จะรู้จักเพลงซอ เพลงพื้นเมืองทางเหนือที่มีความเป็นเอกลักษณ์และบรรจุประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ยาวนานไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่แพ้ชนชาติไหนๆเลย เรือมังกร พาหนะของเราที่วนลอยลำกลางลำน้ำหอมนั้นขยับเข้าใกล้ฝั่ง เป็นสัญญาณว่าการแสดงใกล้จะจบลงแล้ว เสียงเพลงและเสียงปรบมือนั้นเหมือนยังดังอยู่เบื้องหลังในเวลาที่เราเดินออกจากเรือและสัมผัสบรรยากาศชื้นเย็นของเมืองเว้อีกครั้ง เขาปีนขึ้นบนหลังม้า เธอจำต้องปล่อยมือจากชายเสื้อคลุม ฤดูใบไม้ร่วงครอบคลุมป่าเมเปิลด้วยความเศร้าโศก เขาจากไปทันทีที่กลุ่มฝุ่นตลบขึ้น อันตรธาน... หายลับไปเมื่อผ่านพุ่มไม้ ป่าหม่อน เธอเดินกลับบ้าน เผชิญความมืดของรัตติกาลอย่างเดียวดาย และตอนนี้เขาก็ห่าง...ไกลออกไปทุกที ‘ ใครกันหนอ...แยกดวงจันทร์ของคู่รัก ครึ่งหนึ่งยังอยู่ที่เดิมและหลับใหลไปบนหมอนที่อ้างว้างของเธอ อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นแสงสว่างนำทางให้เขาไปไกล แสนไกล เสียงบทกวีมีชื่อเสียงของเวียดนามที่บรรยายถึงเรื่องราวการพลัดพรากของคู่รัก ยังดังก้องในความคิดคำน
ชั้นเองตามหาสิ่งทีัชั้นต้องการเจอแล้วในที่สุด ชั้นคิดถึงแก พอ ๆ กับเวลาที่เราไม่ได้คุยกันนั่นล่ะ
ชั้นจะเข้ามาดูทุกวันนับจากนี้ จนกว่าจะได้เจอแกนะ
ห้าปีผ่านไปแล้ว งานของแกยังวน ๆ อยู่กับเรื่องความเหงาเหมือนเดิม
วันเวลาผ่านแล้ว ก็ผ่านอีก อย่างน้อย แกก็ยังทำให้ "ที่นี่" กลายเป็น "ที่อื่น" ได้แล้วนะ
ดีใจกับแกจริง ๆ
ล่องเรือสำราญกลางแม่น้ำ "หอม"
ประทับใจศิลปวัฒนธรรมของเวียตนาม ที่ใช้ตะเกียบและ ถ้วยชาเล็กๆ มาสั่นรัวเกิดท่วงทำนองพริ้วไหว ประกอบท่าร่ายรำ ไกด์บอกว่าเป็นการแสดงในราชสำนักสมัยโบราณ เยี่ยมมากจ้ะ