การเดินทางของเหรียญสิบและกระป๋องโค้ก


ผมระลึกถึงถังขยะของเมืองพม่า บางทีมันอาจมีสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการมีถังขยะสักใบในเมืองนี้ ชีวิตของเด็กพวกนั้น ถึงมีถังขยะ เด็กเล็กๆ บางคนอาจต้องอดตาย เพราะการเอาตัวรอดของเขาไม่ใช่การแก่งแย่ง แต่เป็นการรอคอยอย่างอดทนถึงที่สุด

เหรียญสิบเหรียญหนึ่งหมุนติ้วอยู่ก้นกล่องไวโอลินของวณิพกเฒ่าชาวตะวันตก ผมผู้โยนมันลงไป ครุ่นมองเหรียญนั้นจนมันนิ่งสงบ ขณะวณิพกเฒ่ายังบรรเลงเพลงซ้ำๆ ซากๆ ของเขาต่อ

ใกล้ค่ำ อีกครู่-ฝั่งพม่าที่ตั้งอยู่คนละฟากของน้ำสายก็จะมืดสนิท แลเห็นเพียงเงาสว่างจากเครื่องปั่นไฟในบ่อนกาสิโน จนดึกดื่น ไทยโง่หลายรายที่สุมหัวกันอยู่ในนั้นก็จะค่อยทยอยย่างกันออกมาในสภาพวังเวงตูด และพบว่ายามดึกในฝั่งพม่าช่างมืดมิดเหลือร้าย ไม่เคยปราณีโชคให้ใคร แม้เจ้าของจะเป็นคนไทยด้วยกันก็ตาม

ระหว่างเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่ชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ผมปล้ำรบเร้าเขาอยู่หลายครั้งว่าเราน่าจะได้เดินทางข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่ากันบ้าง มิใช่มัวแต่ยืนด้อมผ่านซี่กรงกั้นประเทศเช่นหลายวันที่ผมเป็นอยู่นี้ เขาอิดออด บอกว่าฝั่งพม่าก็ไม่ต่างอะไรจากแม่สาย ร้านรวงต่างๆ มีคนไทยเป็นนายทุน และถ้าผมอยากจะเห็นคนพม่า แม่สายก็มีให้ดูอยู่เกลื่อนตลาดสด จะเอาหนุ่ม สาว หรือพ่อเฒ่า แม่เฒ่า ล้วนลูกค้าของเขาทั้งนั้น ผมปฏิเสธ บอกเขาว่าที่ถนนข้าวสารในกรุงเทพก็มีคนเดินทางจากทั่วโลกไปรวมกันอยู่ที่นั่น ถ้าผมคิดอย่างเขา ก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาถึงแม่สาย เขานิ่ง ถอนหายใจ แล้วค่อยเผยยิ้มที่มุมปาก เอ่ยคำมาว่าเขาช่างโชคร้ายที่มารู้จักกับผม

“อาศัยวีซ่าของความเป็นเพื่อนนำทางด้วยละกัน” ผมยิ้มกว้าง เพื่อนเอื้อมมือมาโอบไหล่ บีบกระชับมั่น และกล่าวสั้นๆ แต่หนักแน่นว่า “ไป!”

มิตรภาพยังเป็นเพื่อนแท้ของพวกเรา


วันที่ผมเดินทางเข้าไปยังจังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า นั้น เป็นช่วงเวลาสายของต้นเดือนธันวาคม ความหนาวกำลังหิวโหย แม้แต่ขอทานก็ยังต้องนั่งจับกันเป็นกลุ่ม ทว่าบรรยากาศการซื้อ-ขายในเวลานั้นกลับคึกคักยิ่ง เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบมาหมกตัวแทรกอยู่กับความหนาวของที่นี่เป็นเวลาสั้นๆ วันหรือสองวัน เพื่อจับจ่ายซื้อของราคาถูกด้วยความสุข ทั้งซีดี 6 แผ่นร้อยบาท เครื่องไฟฟ้าจีนแดง อัญมณี ลูกท้อ บุหรี่ เสื้อผ้า และมีหลายรายที่ได้หนังเสือ-อุ้งตีนหมีกลับบ้านไป ทั้งหมดที่กล่าวเป็นของที่หาได้ง่ายและราคาถูกมากในพม่า - -ผมกำลังหมายถึงฝั่งพม่าที่ห่างจากไทยไปเพียงหายใจรดหน้ากันเท่านั้น ที่กฎหมายไทยแทรกผ่านขนตาเข้าไปไม่ถึง

...ผมถอนหายใจรดอุ้งตีนหมีเข้าอย่างแรง!

อากาศหนาว กับเสื้อผ้าเนื้อบางที่คนไม่รู้ประสาอย่างผมสวมใส่ ทำให้ความอัดอั้นทั้งมวลในสิ่งที่เห็นไปจบลงตรงท่อปัสสาวะ อนิจจา ดูเหมือนฝั่งพม่าจะไร้ส้วมสาธารณะ ผมถามเพื่อนผู้ไม่ได้ร่วมทุกข์ เขายิ้มแหยแทนคำตอบ มองไปตามร้านรวงต่างๆ ก็ไม่เห็นที่จะพึ่งได้ เพราะพูดกันคนละภาษา จนมาผุดคิดขึ้นได้ว่าเงินน่าจะเป็นภาษาสากลที่ช่วยบำบัดทุกข์ให้มนุษย์ได้ ผมจึงอุตส่าห์ซื้อโค้กกระป๋อง(บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด)ราคา 15 บาท จากร้านแขกอินเดียเพื่อจะขอเข้าไปปัสสาวะหลังร้าน ทว่าร้านนั้นกลับไม่มีส้วม เดินออกมาจากร้านก็พบมอเตอร์ไซค์รับจ้างชาวพม่าบีบแตรเรียกเสียงดังสนั่นขจรประสาท ปากเขาเคี้ยวหมากทาปูนแดงหยับๆ ได้รสชาติ(พม่า) ก่อนจะถุดน้ำหมากผสมน้ำลายบูดลงเกลือกกลั้วฝุ่นถนน เมื่อว่าที่ผู้โดยสารบอกแก่เขาว่า “Toilet”

เออหนอ ทีศัพท์จำเป็นเช่นนี้พวกวินหม่องกลับไม่สนใจ รู้จักอยู่ 2 คำ คือ “Hi –Money” เท่านั้น ผมจึงตรงรี่เข้าไปในร้านขายยาของชาวจีนที่อยู่ใกล้ๆ ได้แอนตาซินมา 1 แผง และโชคดี ร้านนี้มีห้องน้ำหลังบ้าน

เมื่อได้ปลดทุกข์ ก็มีอารมณ์จะสำรวจสิ่งรอบตัว และความงามยิ่งที่ผมการันตีได้ว่าเห็นมากับตาเป็นสิ่งแรกก็คือหญิงพม่า เธอสวย ตากลม ผิวนวล รัดเอวด้วยเข็มขัดกับผ้าถุง มียิ้มอ่อนหวานซุกซ่อนอยู่ในหน้าที่เกลี่ยแป้งทะนาคาสองข้างแก้มเสียขาวฉ่อง มีบ้างบางรายที่ยิ้มแลเห็นฟันดำด้วยกรำหมากมาแต่แรกสาว แต่แม้ฟันดำก็ยังสวยดุจประดับเม็ดนิล ไม่มีจริต ไม่มีเอวลอย หากมีองค์เอวเด่นชัดมาทดแทน จนละเมอคิดไปว่าการที่พม่าปิดประเทศไม่สุงสิงกับใครนั้น อาจเพื่อจะหวงคนสาวในเมืองตนไว้กับชายพม่าเท่านั้นก็เป็นได้(เปล่า ผมไม่ได้กลับเข้าห้องน้ำไปอีกรอบ หายปวดฉี่สนิทดีแล้ว)

เพื่อนบอกว่าหญิงพม่ามักแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย และส่วนใหญ่ก็ทำงานรับจ้างคนไทย ด้วยอัตราค่าจ้างที่ถูกกว่าแรงงานขั้นต่ำฝั่งเรามาก แต่ทำรายได้ให้นายทุนชาวไทยเป็นกอบเป็นกำ ผมแงะจุกกระป๋องโค้ก ดื่มน้ำดำที่อเมริกาผลิตมาหลอกขายคนทั้งโลก คนที่อ่อนแอกว่าล้วนแต่ตกเป็นเป้าหากินของผู้มีอำนาจเสมอ ทุกที่ในโลกก็เป็นเช่นนี้ แต่จะให้ทำอย่างไร ลุกขึ้นมาประท้วงเพื่อจะแพ้ หรือนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบๆ บางทีการรอรับเศษเนื้อที่ร่วงลงมาจากปากของพวกตะกละกราม ยังดีกว่าทนรอความหวังจากนักการเมืองที่เราเลือกเข้าไปเลียก้นรัฐมนตรีเสียอีก ผมมองกระป๋องโค้ก หันไปเปรยกับเพื่อน

“เฮ้ย! นโม นายรู้ไหมว่ากระป๋องโค้กนี่เป็นเรื่องการเมืองระดับโลกเชียวนะ” เพื่อนไม่ได้ตอบว่ารู้หรือไม่รู้ แต่เขาตอบสั้นๆ ตามหลักวิชาจิตแพทย์

“บ้า!”


ผมกับเพื่อนเดินเตร่อยู่ฝั่งพม่าอีกหลายชั่วโมง โค้กหมดไปนานแล้ว แต่ยังหาถังขยะไม่ได้ เหมือนกับว่าที่นั่นจะไม่มีความเอื้ออำนวยใดๆ ให้เราได้ขจัดสิ่งสกปรก ไร้ทั้งห้องน้ำและถังขยะ ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยขอทาน เช่นพวกเด็กๆ ที่กำลังห้อมล้อมผมอยู่เวลานี้

ผมเคยรักเด็ก แต่ก็มั่นใจว่าต้องไม่ใช่เด็กเช่นที่ประสบอยู่นี้แน่ พวกเขาเหมือนฝูงแมลงวัน ไล่ตอมนักท่องเที่ยวไปทุกที่ จนกว่าจะได้อะไรสักอย่าง(หมายถึงสักอย่าง-สำหรับทุกๆ คน) พวกเขาจึงจะผละไปที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆ แทน สำหรับผม เด็กพวกนี้ทำให้พม่าหมดสนุก และทำลายแรงดึงดูดของโลกฝั่งนี้ลงอย่างย่อยยับ ผมชูกระป๋องโค้ก แบมือแต๋ และพยายามจะสลัดหนีจากการรังควานของพวกเด็กๆ หลายวิธี จนที่สุด ก็พบว่าเหลือเด็กเพียงคนเดียวติดตามผมอยู่ เขาไม่พูดพร่ำ ไม่ตอแย แต่ก็ไม่ยอมทิ้งห่างให้ผมคลาดสายตาไปได้ ตัวของเขาเล็กจ้อย หัวเป็นสังคะตัง มือเท้าเต็มไปด้วยผดผื่น และที่สำคัญ น้ำมูกเขียวเขรอะของเขามันชวนอาเจียนตั้งแต่แรกเห็น เวลาผมเดินเขาก็เดิน ผมซ้าย ผมขวา เขาตามหมด และเมื่อผมหยุด เขาก็หยุดด้วย พร้อมกับทำหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับความอึดอัดที่ผมได้รับจากเขา

เป็นเวลากว่าชั่วโมงที่เด็กน้อยเฝ้าตามผมไปทุกที่ในระยะไม่เกิน 50 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระยะที่ประชิดกับกลิ่นตัวของเขาอย่างแรง และเมื่อความอดทนถึงที่สุด ผมก็ประกาศขอเจรจากับเขาเป็นครั้งสุดท้าย

มันเป็นธรรมเนียมที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องรู้ว่าห้ามให้เงินแก่เด็กขอทานเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆ ของเขาอีกนับสิบจะรีบกรูกันมาทึ้งเงินไปจากเราจนสิ้นเนื้อประดาตัว ผมรู้ว่าระหว่างผมกับเจ้าหนูขี้มูกเขียวนี้ เราไม่มีทางสื่อสารกันด้วยภาษาพูดรู้เรื่อง ผมจึงรอมชอมโดยพยายามใช้ท่าทางสื่อสารว่าเขาต้องการอะไรกันแน่ เด็กน้อยชี้มือไปที่กระป๋องโค้ก

“โนว มันหมดแล้ว” ผมถามใหม่ เขาชี้มาที่เดิม ผมสั่นกระป๋อง บอกให้เขารู้ว่าในนั้นไม่เหลือโค้กแม้สักหยด แต่เด็กน้อยก็พยักหน้า เพื่อนของผมทำท่าระอาใจ

“มันอยากได้นักก็ให้มันไปเถอะ” ผมถอนหายใจ(กี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้) ยื่นกระป๋องเปล่าส่งให้ เด็กน้อยยื่นมือมารับ แล้วเขาก็หันหลังกลับ แล่นเร็วจี๋ไปตามทางที่เขาจากมา

เด็กน้อยต้องการเพียงแค่กระป๋องโค้ก เขาต้องการเพียงกระป๋องของมันเท่านั้น!

ผมระลึกถึงถังขยะของเมืองพม่า บางทีมันอาจมีสิ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าการมีถังขยะสักใบในเมืองนี้ ชีวิตของเด็กพวกนั้น ถึงมีถังขยะ เด็กเล็กๆ บางคนอาจต้องอดตาย เพราะการเอาตัวรอดของเขาไม่ใช่การแก่งแย่ง แต่เป็นการรอคอยอย่างอดทนถึงที่สุด

ผมรู้สึกเสียใจที่รังเกียจเด็กคนนั้น


อย่างไรก็ตาม เมื่อพระอาทิตย์เริ่มทำมุมคล้อยต่ำ ผมกับเพื่อนก็เห็นพ้องกันถึงการก้าวกลับสู่มาตุภูมิ ประเทศไทยเป็นเมืองสงบ มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครันตามอัตภาพ และแน่นอน ประเทศของเรายังเต็มไปด้วยถังขยะ มีธุรกิจรับซื้อขยะที่ทำกำไรให้เจ้าของกิจการเป็นกอบเป็นกำ มีกำลังและสติปัญญาพอที่จะซื้อมากกว่าซ่อมแซมหรือดัดแปลงสิ่งซึ่งสึกหรอให้กลับมาใช้ได้ใหม่ แต่ผมเชื่อว่าแม้ในประเทศไทยเองก็ยังมีเด็กที่ต้องทุกข์ยากลำบากเหมือนเด็กขี้มูกกรังคนนั้น แน่นอน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่ใครจะลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างล่ะ ช่วยซื้อบริการพวกเขาหรือ อย่างไรก็ขออนุญาตให้ผมถอนหายใจอีกสักครั้งเถอะ เพราะมันดีต่อความจริงของชีวิตตอนนี้ยิ่งกว่าอะไร

ใกล้จะเดินทางไปถึงชายแดนฝั่งไทย เรายังต้องฝ่าด่านเด็กขอทานชาวพม่าไปอีกจำนวนไม่น้อย เด็กหญิงคนหนึ่งเข้ามาพูดภาษาไทยกับผม

“คนไทยต้องเดินไปช่องโน้นค่ะ” เธอชี้มือแนะนำทางเข้าเมืองที่ถูกให้และนำทางผมไป

“พี่คะขอตังค์ 1 0 บาท” เด็กหญิงยกมือไหว้ ผมปฏิเสธ เพราะเห็นว่าเธอยังมีเพื่อนกลุ่มใหญ่อยู่ข้างหลัง มองไปทางซี่ลูกกรงฝั่งไทย เห็นว่าขนาดพอเอามือลอดได้

“พี่ยังไม่มีให้ตอนนี้หรอก” ผมยิ้ม เธอไม่ว่าอะไร วิ่งไปขอเศษเงินจากนักท่องเที่ยวคนอื่นต่อ

กระทั่งผมเดินทางมาถึงฝั่งไทย ผมพยายามจะกลับไปหาเธออีกครั้ง เพื่อจะยื่นเหรียญสิบผ่านทางซี่ลูกกรงให้กับเธอ แต่รออยู่หลายนาทีเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินมายังจุดที่ผมอยู่ รออีกหลายนาที หลายนาที แล้วที่สุดเธอก็มา ผมยิ้ม ยื่นมือผ่านลูกกรงพยายามจะส่งเงินให้เธอ ทว่าเธอไม่ยิ้มด้วย กลับแลบลิ้นใส่แล้ววิ่งหนีไปเล่นกับเพื่อนเสียเฉยๆ ผมนิ่งอึ้งอยู่หลายนาที และทันได้เห็นแม่เธอมารับเธอกลับ

เธอเป็นลูกสาวชาวกะเหรี่ยง แม่ห้อยน้องโตงเตงไขว้หลัง เธอวิ่งเต้นเล่นกับน้อง และนาทีนั้นเงินสิบบาทของผมคงไม่มีความหมายอะไร


เหรียญสิบเหรียญนั้นยังแน่นิ่งอยู่ที่เก่าก้นกล่องไวโอลิน แต่ตอนนี้ถูกเหรียญอื่นๆ กลบถมเสียมิดจนไม่อาจมองเห็นมันได้อีก ผมหันไปยิ้มกับเพื่อน

“เงินสิบบาทมันก็แลกได้แค่เพลงซ้ำซากพวกนี้เท่านั้นเอง ความสุขในชีวิตเรามันวนเวียนอยู่แค่นี้หรือวะ” ขณะนั้นเป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา เสียงนกหวีดคมกริบเป่าเป็นสัญญาณเคารพเพลงชาติ ผมยืนตรง!

เพลงชาติเนื้อหาเดิมๆ ทำนองเก่าๆ ที่หัดร้องและได้ยินมาตลอดทั้งชีวิต วันนี้ช่างไพเราะเหลือเกิน

คำสำคัญ (Tags): #สารคดี
หมายเลขบันทึก: 54614เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 2006 23:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท