โครงสร้างทีม
(Team
Structure)
โครงสร้างของทีมประกอบด้วยหลายอย่าง เช่น จำนวนสมาชิกของทีม
สัดส่วนทางประชากร และประสบการณ์ของสมาชิกในทีม
แต่สิ่งที่สำคัญของโครงสร้างทีมคือความหลากหลายของสมาชิก
ทีมที่ประสบความสำเร็จได้แสดงให้เห็นความหลากหลายของสมาชิก
ซึ่งความหลากหลายหมายถึงความแตกต่าง
วิธีที่จะแสดงให้เห็นความหลากหลายในตัวสมาชิกก็คือ information diversity
ซึ่งเป็นความแตกต่างทางด้านรู้และประสบการณ์ และ Value
diversity ซึ่งเป็นความแตกต่างทางด้านความสนใจ เป้าหมาย
ซึ่งความแตกต่างด้านนี้สามารถแสดงออกในรูปของวัตถุประสงค์ของทีม
ความเต็มใจที่จะเป็นผู้เสียสละแก่ทีม ผลการวิจัยยังบอกว่า information
diversity มีอิทธิพลทางบวกต่อการกระทำของทีม แต่ Value
diversity จะลดjob satisfactionของทีม
เจตนาที่มีต่อทีม และความผูกพันที่มีต่อทีม
อย่างไรก็ตามผลกระทบของความหลากหลายต่อการกระทำของทีมขึ้นอยู่กับประเภทของงานถ้าเป็นงานที่ต้องการความรวดเร็ว
และมีการประสานกัน information diversity ก็อาจไม่มีอิทธิพลทางบวก Belbin ได้เสนอว่าทีมที่มีประสิทธิภาพจะต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มีบทบาทแตกต่างกัน
และบทบาทที่ได้ก็ถูกเลือกจากความสามารถและบุคคลิกที่เหมาะสม
Belbinได้แบ่งความหลากหลายของทีมตามบทบาทดังนี้
Team
Processes
Processes เป็นกระบวนการภายในทีมที่จะทำให้ระบบการทำงานนั้นราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งมีสี่เรื่องใหญ่ๆ คือ Socialization, Interpersonal, shared mental
models, และ decision making
Socialization
เป็นกระบวนการที่เป็นการปรับตัวเข้าหากันระหว่างตัวบุคคลและทีม
เป็นกระบวนการที่บุคคลได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมและท้ายที่สุดก็ได้ออกจากทีมไป
ซึ่งทีมก็จะได้รับผลกระทบจากการเข้ามาและจากไปของสมาชิกคนต่างๆ การ Socialization
มีทั้งแบบที่เป็นทางการ เช่น การปฐมนิเทศน์ และแบบที่ไม่เป็นทางการ
ได้แก่การให้คำแนะนำส่วนตัวระหว่างรุ่นพี่ภายในทีมกับบุคคลที่เข้ามาใหม่
กระบวนการ Socialization
เกิดขึ้นจากหลักทางจิตวิทยา 3 ตัว คือ Evaluation, Commitment, และ Role transition ตัวแรก
Evaluation
เป็นการที่ตัวบุคคลและทีมได้ประเมินความสามารถซึ่งกันและกัน
รวมไปถึงการประเมินว่าบุคคลสามารถมีส่วนช่วยทีมให้ทำได้ตามเป้าหมายหรือไม่
และบุคคลก็ประเมินว่าการเข้าร่วมทีมจะเป็นการสร้างความพอใจให้กับเขาหรือไม่
การ Evaluation จึงเป็นการประเมินด้วยกันทั้งสองฝ่าย
Commitment เป็นความรู้สึกผูกพันกับทีม
มีการเชื่อมต่อระหว่างตัวบุคคลและทีม
เมื่อบุคคลรู้สึกผูกพันจะทำให้เขายอมรับในเป้าหมายของทีม
ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จของทีม
และเมื่อทีมมีความผูกพันกับตัวบุคคลมากก็จะเป็นการตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลไปในตัว
การเปลี่ยนแปลงของความผูกพันระหว่างบุคคลกับทีมทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ของบุคคลและทีมเปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งนี่เป็น Role transition ของบุคคลและทีม
ดังรูปได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงไปของความผูกพันกับทีมในระยะต่างๆกัน
ในช่วง Investigation ทีมได้มองหาบุคคลที่จะมาช่วยทำให้ทีมประสบความสำเร็จ
ส่วนบุคคลก็หาทีมที่ตนอยากจะอยู่ด้วย ถ้าทั้งคู่เริ่มมีความผูกพันกัน
ก็จะเข้าสู่ช่วง Socialization ในช่วงนี้ทั้งทีมและบุคคลได้ปรับตัวเข้าหากัน
และถ้าทั้งคู่ยอมรับซึ่งกันและกันบุคคลก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมและเข้าสู่ช่วง
Maintenance เป็นช่วงที่ทั้งทีมและบุคคลได้พยายามตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกัน
คือคนก็ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จและทีมก็ตอบสนองความพอใจของบุคคลได้
ช่วงนี้จะกินระยะเวลายาวไปจนกว่าทีมและบุคคลมีความผูกพันต่อกันลดลงไป
ซึ่งบุคคลก็จะเริ่มแยกตัวออกห่าง เกิดช่วง Resocialization ซึ่งทีมและบุคคลก็พยายามที่จะหันหน้าเข้าหากันอีกครั้ง
ถ้าไม่สำเร็จสถานภาพความเป็นสมาชิกในทีมของบุคคลก็สิ้นสุดลงเป็นช่วง
Remembrance กระบวนการ Socialization จึงเป็นกระบวนการที่เป็นพลวัตร คือ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ทั้งบุคคลและทีมส่งอิทธิพลต่อกัน
Interpersonal
Processes in Teams
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในทีมส่งผลโดยรวมต่อประสิทธิภาพของทีม
ซึ่งสิ่งที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์นั้นก็มีอยู่หลายประการด้วยกั
Communication
ในทีมที่ประสบความสำเร็จจะมีการสื่อสารที่เปิดกว้างระหว่างบุคคลภายในทีม
ทั้งแบบที่เป็นทางการ เช่น มีการนัดประชุมอภิปรายกันภายในทีม
และแบบที่ไม่เป็นทางการซึ่งจะมีมากกว่าแบบที่เป็นทางการเพราะเป็นการสื่อสารในชีวิตประจำวันที่สมาชิกภายในทีมได้มีโอกาสพูดคุยซักถามกันในเรื่องงาน
งานทีมที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูง
สมาชิกในทีมจะมีการคุยกันถึงเรื่องปัญหาที่พบและเปิดโอกาสให้มีการแนะนำกันโดยที่สมาชิกภายในทีมไม่ขุ่นข้องหมองใจกัน
การพูดคุยสื่อสารนี้ไม่เพียงแต่ทุกคนจะต้องยอมรับได้เท่านั้น
แต่มันเป็นสิ่งที่ทุกคนปราถนาเพราะมันจะช่วยให้คนในทีมได้พัฒนาตนเองและทีมก็ประสบความสำเร็จ
Conflict
ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกภายในทีมนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ความขัดแย้งก็สามารถมองว่าเป็นโอกาสที่จะได้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกันขึ้น
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมี 2 ประเภท คือ
Beneficial Conflict เป็นความขัดแย้งที่เกิดจากความแตกต่างกันของความคิดและต้องการที่จะเข้าใจในมุมมองซึ่งกันและกัน
ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจที่เป็นที่ยอมรับและทำให้เกิดความพอใจทั้งสองฝ่าย
ความขัดแย้งอีกประเภทหนึ่ง คือ Competitive
Conflict ต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะเอาชนะกันซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อทีม
Cohesion
Cohesion
เป็นระดับที่สมาชิกภายในทีมรู้สึกยึดติดกับทีมและต้องการอยู่ในทีมต่อไป
ซึ่งระดับของ Cohesion
จะส่งผลต่อระดับการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกในทีม
ในทีมที่มีประสิทธิภาพการทำงานดีจะทำให้ทีมมี Cohesion สูง
และการให้รางวัลไปที่ทีมก็เป็นการเพิ่ม Cohesion ในทีมด้วย
ส่วนการให้รางวัลไปที่บุคคลจะเป็นการทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างสมาชิกภายในทีม
ในองค์กรจะพบว่าทีมที่มี Cohesion
สูงจะมีอิทธิพลต่อองค์กรมากว่าทีมที่มี Cohesion ต่ำ
Cohesion
มีความสำคัญต่องานที่ต้องอาศัยความพร้อมเพรียงของสมาชิกในทีม
Trust
ความไว้วางใจ คือ
ความเชื่อว่าแม้ว่าเราจะไม่ได้กำลังควบคุมพฤติกรรมของบุคคลอื่นอยู่
แต่บุคคลนั้นก็กำลังทำในสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่เรา
ความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ค่อยๆพัฒนาอย่างช้าๆภายในทีม
และเป็นสิ่งที่สามารถถูกทำลายลงได้ง่าย
ในทีมที่มีความไว้วางใจกันสูงจะมีแรงจูงใจที่เกิดขึ้นในรูปแบบของความรู้สึกร่วมกันและทำให้ผลการทำงานออกมาดี
ส่วนทีมที่ไว้วางใจกันต่ำสมาชิกในทีมจะมีแรงจูงใจอีกแบบหนึ่ง
คือพยายามที่จะทำงานด้วยตัวเองแทน
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหล่านี้มีความสัมพันธ์ต่อผลงานของทีมสูง
ในทีมที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงจะพบว่ามีระดับของ Communication สูง
มีรูปแบบในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นทีมที่มี Cohesion สูง และมีความไว้วางใจกันระหว่างสมาชิกในทีม
Share Mental
Models
Share Mental Models หมายถึง
การที่สมาชิกในทีมมีรูปแบบของการคิดในการแก้ปัญหา ในการวิเคราะห์เรื่องต่างๆ
ซึ่งการมีรูปแบบการคิดจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นในทีม
สิ่งที่สมาชิกในทีมจะแบ่งปันหรือมีรูปแบบการคิดที่เหมือนกัน นั่นก็คือ
ข้อมูล และความรู้ ซึ่งรูปแบบของการแลกเปลี่ยนนี้จะแบ่งเป็น 4 ระดับ
คือ
-
Task-specific information
เป็นการแบ่งปันข้อมูล
ความรู้กันภายในทีมซึ่งจะทำให้สมาชิกทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้
โดยเป็นการสื่อสารแบ่งปันข้อมูลกันภายในงานที่เหมือนกัน
-
Task-related knowledge เป็นการแบ่งปันความรู้
มีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างงานที่มีความเกี่ยวข้องกัน
ซึ่งนำมาประยุกต์เข้ากับงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
-
Knowledge of teammates เป็นความเข้าใจกันของสมาชิกภายในทีม รวมถึงการทำงาน จุดอ่อน
จุดแข็งของเพื่อนร่วมทีม เป็นเรียนรู้ซึ่งกันและกันของสมาชิกในทีม
ซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถทำงานชดเชยกันได้
-
Shared attitude and beliefs
เป็นการทำให้สมาชิกภายในทีมเข้ามาแก้ปัญหาร่วมกัน ทำให้เกิด
cohesion , motivation และ consensus ขึ้นภายในทีม
Groupthink
เป็นด้านมืดของการคิดเป็นทีม
เป็นปรากฏการณ์ที่สมาชิกในทีมคิดเหมือนกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงเหตุผลที่ครบถ้วน
ทั้งนี้เพราะสมาชิกในทีมรู้สึกถูกคุกคามโดยแรงกดดันภายนอก
ทำให้สมาชิกเลือกพิจารณาแต่ข้อมูลที่เข้าข้างฝ่ายตนเอง
และเห็นความเป็นเอกฉันท์สำคัญกว่าเหตุผลอื่น ซึ่งการเกิด Groupthink
จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของทีมลดลง
เป็นหน้าที่ของหัวหน้าทีมที่จะขจัดปรากฏการณ์นี้มิให้เกิดขึ้น
โดยส่งเสริมให้ทุกคนมีความคิดเห็น
เมื่อมีข้อเสนอแนะหรือข้อขัดแย้งเกิดขึ้นแม้แต่กับคนเพียงคนเดียวก็ไม่ควรที่จะปล่อยให้ผ่านเลยไป
แต่ควรที่จะให้เขาได้อธิบายถึงเหตุผล เปิดกว้างทางความคิด
Decision Making in
Teams
การตัดสินใจเป็นทีมย่อมแตกต่างจากการตัดสินใจด้วยคนเพียงคนเดียว
เพราะในทีมนั้นสมาชิกแต่ละคนอาจได้ข้อมูลที่แจกจ่ายอย่างไม่ทั่วถึงกันระหว่างสมาชิกซึ่งต้องนำมารวมกัน
กระบวนการนำข้อมูลมารวมกันนั้นก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะเจอกับความคลุมเคลือ
ความสับสนที่อาจเกิดขึ้น
และอีกหลายปัจจัยที่อาจนำมาซึ่งความเครียดที่จะส่งผลต่อความสามารถในการทำงาน
ซึ่งก็ได้มีการพัฒนา Multilevel theory ในการตัดสินใจแบบเป็นทีมขึ้น
ประกอบด้วย3ระดับ
-
Team infirmity คือ ทีมแต่ละทีมก็จะได้รับข้อมูลที่แตกต่างกัน
ทีมหนึ่งอาจจะได้ข้อมูลเรื่องหนึ่งมากกว่าอีกเรื่องหนึ่งตามหน้าที่ของทีมนั้นๆ
-
Staff validity สมาชิกในทีมแต่ละคนก็มีความสามารถแตกต่างกันที่จะทำการตัดสินใจ
บางคนตัดสินใจได้ไม่ดี ขณะที่บางคนสามารถเลือกตัดสินใจได้อย่างถูกต้องบ่อยครั้ง
-
Dyadic sensitivity คือการที่หัวหน้าทีมต้องรับฟังความคิดเห็นต่างๆของสมาชิก
และต้องชั่งน้ำหนักในข้อแนะนำต่างๆ
ซึ่งในทีมที่มีประสิทธิภาพหัวหน้าทีมต้องเลือกที่จะให้น้ำหนักในข้อแนะนำที่มีประโยชน์
การเลือกคนเข้าทีม (Personnel Selection in
Team)
นักจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การบางกลุ่มทราบว่าการคัดเลือกคนเข้าทำงาน
ไม่เหมือนกับ การเลือกคนเข้าทีม
มีการใช้แบบวัด Myers-Briggs Type Indicator
(MBTI) แบบวัดที่ใช้คัดเลือกสมาชิกทีม (Guzzo & Shea,
1992)
สมาชิกของทีมควรจะต้องมี
2 skills ได้แก่
1. Taskwork skills ความสามารถในการทำงานของสมาชิกในทีม
2. Teamwork skills เพราะ การทำงานแบบทีมต้องมีการร่วมมือกัน
การสร้างทีมจะต้องประเมินและเลือกคนที่มีค่านิยมและบุคลิกภาพที่สอดคล้องกัน
เช่น คนในทีมจะรับรู้ผลงานของคน extrovert ได้ดีกว่า คน introvert อีกทั้ง Big 5 personality
factors เป็นตัวทำนายผลการทำงานของทีมได้
การคัดเลือกสมาชิก
ควรพิจารณาจากทักษะที่จำเป็นต่อความสำเร็จของภารกิจของทีม
มี 2 ขั้นตอน
1.
พิจารณาว่าทักษะใดบ้างที่จำเป็นสำหรับการทำงานชิ้นนั้น
2.
พิจารณาว่าใครบ้างที่เหมาะสมกับการปฏิบัติภารกิจนั้น
ประกอบด้วย
·
ทักษะด้านเทคนิค (Technical skill) คนที่เชี่ยวชาญ
·
ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ( Problem-solving skill)
คนที่แก้ปัญหาเองได้
มีความคิดสร้างสรรค์
·
ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal skill) สำคัญมาก
·
ทักษะด้านองค์กร (Organizational skill)
สื่อสารระหว่างหน่วยงาน,มองการเมืองออก,มีเครือข่าย
·
ส่วนมากเรามักจะเน้นเลือกสมาชิกที่มีทักษะด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว
แต่เนื่องจาก ทีมต้องมีความร่วมมือกัน
ดังนั้นสมาชิกในทีมจะต้องมีทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและด้านองค์กรอีกด้วย
เช่น ไม่ควรรับคนที่วาดรูปเก่งแต่พูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
แต่ควรรับคนที่วาดรูปไม่เก่งเท่าแต่คุยรู้เรื่อง จะดีกว่า
ไม่มีความเห็น