หน้าแรก
สมาชิก
ครูชาติ
สมุด
ครูชาติ
นอนเฉยๆ
ครูชาติ
นาย สุชาติ สอนแก้ว
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
นอนเฉยๆ
เคยสังเกตมั้ยครับว่ามีแต่เด็กเล็กๆ เท่านั้นที่ตื่นมาแล้วยิ้มทันที พอโตมาหน่อยเริ่มตื่นแล้วไม่ยิ้มแล้ว เด็กเล็กตื่นมาแล้วยิ้มทันทีเพราะโลกยังมีอะไรให้น่าค้นหาน่ายิ้มใส่อีกมาก
ผมพบเด็กนอนเฉยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงเรียนหนังสือจบแล้วไม่ทำอะไรต่อ เอาแต่นอนเฉยๆ อยู่บ้านอย่างนั้น ไม่ไปสมัครงาน ไม่ไปเรียนต่อ
มีบ้างบางคนไปทำงานแล้วสักพักก็ลาออกมานอนเฉยๆ มีบ้างบางคนไปเรียนต่อปริญญาโทแต่ก็ไม่จบแล้วก็เริ่มนอนเฉยๆ
บางคนในจำนวนนี้ป่วยทางจิตอย่างหนัก แต่ส่วนใหญ่ไม่ป่วยเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ไม่มีแรงจูงใจจะไปทำอะไร หรือไม่มีความกระตือรือร้นจะทำอะไร
ปัญหาที่พวกเราพ่อแม่พบทุกวันนี้คือเราควรกดดันเด็กมากน้อยแค่ไหน กดดันให้พวกเขาไปกวดวิชามากๆ เพื่อความสำเร็จในภายหน้า หรือปล่อยให้เอ้อระเหยตามสบายกับการสอนในห้องเรียนซึ่งได้ยินมาว่าาไม่ค่อยมีอะไรจะสอน
กดดันมาก็อาจจะดี แต่หลายคนก็เสียสติ พวกที่เรียนเก่งชนะเพื่อนอาจจะได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ แต่เราก็เริ่มพบว่าเข้าไปแล้วไม่มีสติปัญญาอะไรมากนัก ทำอะไรไม่ค่อยได้ จบมาก็ยิ่งทำงานไม่ค่อยได้ เพราะชีวิตจริงมิใช่ ก ข ค ง อย่างว่า เมื่อทำอะไรไม่ได้เสียแล้วก็เริ่มนอนเฉยๆ กัน
การปล่อยให้เอ้อระเหยไม่เรียนไม่กวดอะไรสักอย่างก็เสี่ยงไปอีกแบบ เพราะเด็กๆ ก็ดูเหมือนว่าจะค้นหาตัวเองไม่เจออยู่นั่นเองว่าจะเอาอะไรกับชีวิต
นิตยสาร
TIME
ฉบับวันที่ 9 มกราคม 2006 ขึ้นหน้าปกเรื่องคล้ายๆ เรื่องนี้พอดี คือ
“The Secrets of AMBITION”
แปลว่า ความลับของความทะเยอทะยานอะไรทำนองนั้น
อันที่จริงเนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงคนดังและความสำเร็จของคนดัง เช่น
บิล คลินตัน ไทเกอร์ วู้ด โอปราห์ วินเฟรย์เจนนิเฟอร์ โลเปซ ทอม ครุยส์
และ
คอนโดเลซซา ไรซ์
ไม่ได้พูดถึงคนที่ชอบนอนเฉยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้สนใจเด็กไทยที่นอนเฉยๆ แต่มีเนื้อหาบางส่วนที่ผมคิดว่าน่าสนใจสามารถเอามาปรับใช้ได้
ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนชื่อ
แจ็คเกอลีน เอ็คเคลส
ได้ศึกษาเด็กเกรด 1 - 7 ในโรงเรียนต่างๆ รวม 3 เขตนาน 25 ปี แล้วสรุปว่าที่ (พวกเรา) สามารถทำได้คือเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำสิ่งที่ชอบ และเด็กเป็นสิ่งที่ (พวกเรา) ไม่สามารถบังคับได้ อะไรนองนี้แหละครับ
ฟังดูสบายดี ถ้าให้เลี้ยงลูกแบบนี้ง่ายขึ้นเยอะเลย เขาอยากจะทำอะไรก็ให้เขาลอง ลองไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะพบสิ่งที่ชอบ คำถามคือบ้านเราจะมีพ่อแม่กี่คนใจกล้าขนาดนี้เผลอแผล็บเดียวเอ็นท์ไม่ติดไปเสียแล้ว มิหนำซ้ำยังค้นไม่พบว่าชอบอะไรอีกต่างหาก เซ็งสุดๆ
มิใช่นักจิตวิทยาทุกคนจะเชื่อตามนี้ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อ
คารอล ดเว็ค
กล่าวว่าสมองและความฉลาดของเด็กเป็นสิ่งที่สร้างได้ กระตุ้นได้และพัฒนาได้ อะไรทำนองนี้แหละครับ เพราะฉะนั้นที่พวกเราควรทำคือ อย่าอยู่เฉยๆ แต่ควรช่วยเด็กๆ ให้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาคำว่า “ควรช่วยให้” ในที่นี้แฝงในกดดันกันบ้างก็ดี
ฟังดุชัดเจนกว่าแบบแรกนะครับ ตื่นเช้าก็ไปเรียนให้ได้ เรียนไม่ได้ก็กลับไปเรียนให้ได้ เรียนอย่างไรก็ได้ขอให้เรียนให้ได้เพราะสมองเป็นของพัฒนาได้ การอยู่เฉยๆ แบบว่าเสียของ
แนวคิดแบบนี้เองที่อยู่เบื้องหลังการซื้อซีดีเพลงของโมซาร์ตให้ลูกในท้องฟัง นัยว่าฟังโมซาร์ตสมองดีกว่าอยู่เปล่าๆ เพราะของมันกระตุ้นได้ เร่งได้ไงครับ
ผมไม่คิดว่าตนเองจะสามารถตัดสินใจได้ว่าควรเชื่อใคร แต่ผมเห็นความแตกต่างของแนวคิดสองอย่างข้างต้น แนวคิดแรกค่อนข้างจะเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง แนวคิดหลังค่อนข้างจะเอาพ่อแม่เป็นศูนย์กลาง แนวคิดแรกเห็นว่าความสำเร็จของเด็กเป็นเรื่องของเด็ก พวกเรามีหน้าที่เพียงช่วยเขาหาความถนัดและหาโอกาส แนวคิดหลังเห็นว่าความสำเร็จเป็นเรื่องของเรา ซึ่งนำไปสู่อีกคำถามว่าเป็นความสำเร็จของใครกันแน่
นักจิตวิทยาบางคนเห็นว่า
Ambition
หรือความทะเยอทะยานต้องประกอบด้วย 2 อย่างคือ พลัง และเป้าหมายจะเอาแต่มีพลังอย่างเดียวนั้นไม่ได้เพราะจะลงเอยด้วยการไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตอยู่ดี ต้องมีลังและกำหนดเป้าหมายด้วยจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต
ผมจำได้ว่าตอนอ่านพระมหาชนกไม่ได้รู้สึกแบบนี้นะครับตอนอ่านพระมหาชนกผมได้มาอย่างเดียวจริงๆ คือ ความเพียร เพียรพยายามไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจฝั่งเอาเสียเลยด้วยซ้ำ
ผมคิดว่าเด็กๆ ควรถูกสอนเรื่องความเพียรพยายามเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แม้รู้แล้วว่าตนเองชอบอะไรแต่ถ้าไม่ขยันหมั่นเพียรก็จะลงเอยด้วยการนอนเฉยๆ ได้ ในอีกทางหนึ่งแม้ว่าคนจะเป็นพ่อแม่จะส่งเสริมหรือกดดันลูกในเรื่องการเรียนอย่างไร ปัจจัยแห่งความสำเร็จก็ยังคงอยู่ที่ความเพียรพยายามของตัวเด็กเองอยู่ดี เรียกว่าถึงจะ ก ข ค ง แต่ถ้ามีความเพียรพยายามหาหนังสืออ่านเพิ่มเติมก็ยังคงไปวัดปวากับเขาได้อยู่ทำนองนั้น
ความขยันหมั่นเพียรเป็นลักษณะนิสัยที่คนเป็นพ่อแม่ต้องปลูกฝังลูกตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก เริ่มด้วยงานบ้านก่อนที่จะถึงวัยต้องทำการบ้านอ่านหนังสือ หากงานบ้านมีลูกจ้างทำให้หมด ก็น่าเสียดายว่าเด็กขาดโอกาสที่จะได้บำเพ็ญเพียรเรื่องความเพียร
กลับมาที่ลูกๆ ซึ่งชอบนอนเฉยๆ
หากเด็กเล็กชอบนอนเฉยๆ ไม่ชอบเรียน ที่คุณพ่อคุณแม่ควรค้นหาคือเด็กมีปัญหาการเรียนแบบที่เรียกว่า
LD
หรือ
Learning Disability
หรือเปล่า ครอบครัวสงบสุขดีหรือเปล่า หรือมีความขัดแย้งเคร่งเครียดเป็นอย่างมากจนส่งผลต่อการเรียนของเด็ก หรือว่าเด็กกำลังเจ็บป่วยด้วยอะไรบางอย่าง
หากเป็นวัยรุ่นชอบนอนเฉยๆ ไม่ชอบเรียน เรื่องที่ควรทำเร่งด่วนคือ ชวนลูกทำโน่นทำนี่สารพัด เริ่มตั้งแต่งานในบ้าน งานนอกบ้าน ไปไหนหิ้วลูกไปด้วย หากลูกไม่ไปเราก็ต้องอยู่บ้านกับลูก ค้นหากิจกรรมมาทำร่วมกันให้ได้ ค้นไม่พบก็ต้องค้นให้พบ เปิดโอกาสและกระตุ้นเขาให้ได้ว่าเขาอยากทำอะไรและทำได้ดีด้วย ชมเชยเมื่อเขาทำดี ให้กำลังใจเมื่อเขาทำอะไรบางอย่างสำเร็จ ชื่นชมเขาให้มากเมื่อเขาทำบางอย่างสำเร็จ
เคยสังเกตมั้ยครับว่ามีแต่เด็กเล็กๆ เท่านั้นที่ตื่นมาแล้วยิ้มทันที พอโตมาหน่อยเริ่มตื่นแล้วไม่ยิ้มแล้ว เด็กเล็กตื่นมาแล้วยิ้มทันทีเพราะโลกยังมีอะไรให้น่าค้นหาน่ายิ้มใส่อีกมาก
เราต้องสร้างโลกแบบนั้นขึ้นมาให้ได้ครับ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ครูชาติ
ใน
ครูชาติ
คำสำคัญ (Tags):
#วัยรุ่นและความรัก
#อยากรู้เรื่องที่ยังไม่รู้
#เด็ก
หมายเลขบันทึก: 54499
เขียนเมื่อ 13 ตุลาคม 2006 20:54 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 02:40 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
DSS "work with disability" ( หนิง )
เขียนเมื่อ 13 ตุลาคม 2006 21:50 น. (
)
ขอบคุณค่ะ ^
__
*
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ครูชาติ
สมุด
ครูชาติ
นอนเฉยๆ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท