"Hyperventilation" ความผิดที่พ่อหรือแม่...


น้องกาน เป็น case ที่ส่งมาพบดิฉันโดยเฉพาะ...ในบ่ายวันนี้ มีอาการหายใจหอบ มือเท้าจีบเกร็ง หรือที่เรียกกันว่า อาการของการเกิด Hyperventilation...กานเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ อายุประมาณ 13 ปี เรียนอยู่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง  ...พ่อแม่แยกทางกัน พ่อไปมีครอบครัวใหม่ น้องกานอยู่กับแม่ และสนิทกับแม่มาก...

วันที่กานมีอาการ คือ วันที่แม่กำลังขับรถไปส่งน้องกานที่บ้านปู่กับย่า เพื่อจะได้ไปเที่ยวในช่วงปิดเทอมกับครอบครัวของพ่อ แต่ในความรู้สึกของน้องกานทั้งเป็นความรู้สึกอยากไปและไม่อยากไป ด้วยใจที่เป็นห่วงแม่ และหากไม่ไปก็กลัวว่าพ่อจะไม่รัก... ในความกังวล ความรู้สึกนึกคิดที่อัดอยู่ข้างในนั้นทำให้น้องกานไม่สามารถระบายหรือพูดคุยออกมาได้...ดังนั้นอาการที่แสดงออกมาจากภายในจิตใจจึงระเบิดออกมาเป็นอาการของ Hyperventilation ดังกล่าว

เมื่อเราเริ่มคุยกันดิฉันให้น้องการทำ Draw Person เพื่ออยากทราบบุคลิกของน้องกาน และทัศนคติต่อการมองตนเอง และประเมินทักษะเชิงปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบด้าน...

จากนั้นเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยยิ่งขึ้น...
น้องกานมักจะหลุดคำพูดที่ดูเหมือนเป็น...หน้าที่ที่มาจากความรู้สึกภายใน...

"ผมรักแม่...ผมสงสารแม่...
เรามีกันอยู่..แค่สองคน..
แม่ไม่มีใคร...
.....
กานรู้สึกว่ากานต้องไปหาญาติของพ่อ..เพื่อให้เขาได้รู้ว่ากานนั้นไปหาพ่อไม่ไหว...
กานไม่กล้าตัดสินใจหรอก...
กานไม่อยากให้ใครเสียใจ..."

หลายๆ ประโยคสะท้อน ความรู้สึกนึกคิดที่มีอยู่..ในหัวใจดวงน้อยๆ ..ของน้องกาน
ปีนี้เป็นปีแรกที่น้องกานไปอยู่โรงเรียนประจำ...
กานมองว่า ไปเรียนอยู่ที่นั่น ช่างรู้สึก..โดดเดี่ยว และว้าเหว่ ไม่มีใคร...การปรับตัวจึงทำได้ไม่ค่อยดีนัก
แต่ด้วยความรู้สึกว่าพ่อกับแม่จ่ายค่าเล่าเรียนนั้นไปแล้ว...จึงอดทนและเก็บความรู้สึกต่างๆ นั้นไว้...ยิ่งสั่งสมการคิดมากเพิ่มขึ้น...ไม่มีที่ปรึกษาหรือระบายความรู้สึกที่อัดอั้น อะไรก็ตามเมื่ออัดแน่นในใจนานเข้า...เมื่อถึงเวลาก็แตกระเบิดออกมาเหมือนน้องกานนี้...

น้องกานเล่าว่า..อยากไปหาพ่อ...แต่ไม่อยากอยู่กับครอบครัวใหม่ของพ่อ
และน้องกานก็เป็นห่วงแม่...หากไม่ไปหาพ่อ..ก็เกรงว่าพ่อจะไม่รัก...
ความรู้สึกว้าวุ่นในใจ...วนกลับไปมาก้องอยู่ในความคิด...ของน้องกาน...

ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น...น้องกานเล่าไปพร้อมน้ำตาไหลออกมา ไม่มีแม้เสียงร้องไห้
หัวใจที่สัมผัสได้นั้น..."หัวใจดวงน้อยที่แบกโลกทั้งโลกไว้"...
การสัมผัส..และอยู่เคียงข้าง ณ ตอนนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในกระบวนการช่วยเหลือ...พร้อมทั้งความเข้าใจ

เมื่อน้องกานผ่อนคลายมากขึ้น...สิ่งสำคัญที่ดิฉันเน้นรองลงมาคือ..การให้น้องกานสำรวจตนเอง ความรู้สึก อารมณ์ และความนึกคิดต่างๆ ต่อการมองตน..ซึ่งจะทำให้เกิดการมองเห็นตนเองและ...ปัญหาของตนเองชัดเจนขึ้น..

เมื่อดิฉันคุยกับแม่..แม่น้องกานจะมีอารมณ์เศร้า ต่ออาการที่เกิดขึ้นกับลูก...และพยายามมองหาสาเหตุทุกอย่าง...แม่ก็จะมองว่าเป็นเพราะการแยกทางกันนี้หรือเปล่า..เป็นเพราะตนเองไปคาดหวังในลูกหรือเปล่า..หรือเป็นเพราะอะไร เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่กับตนเอง...แม่มองไปที่พ่อว่า...เพราะพ่อทิ้งลูกไปหรือเปล่า พ่อมักคาดหวังให้น้องกานไปอยู่ด้วย หรือแม่เองที่กลัวว่าพ่อจะไม่รักลูกตน..ไม่รักน้องกาน...ทุกอย่างวนไปมา..จนดิฉันได้ขอแยกคุยกับแม่..

ในกรณีลักษณะนี้...สิ่งแรก คือ  ดูแลน้องกานก่อน..จากนั้นเมื่อเราค้นไปเรื่อย..ไปพบตออีกหลายตอ...ก็จะค่อยๆ แก้ไข..ไป...อย่างเช่นกรณีของแม่น้องกานนี้ ดิฉันก็ต้องดูและให้การช่วยเหลือทางจิตใจต่อไปอีก...

 

หมายเลขบันทึก: 54364เขียนเมื่อ 12 ตุลาคม 2006 19:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2013 12:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)
ที่มหาวิทยาลัยก็เจอ case "Hyperventilation" บ่อยค่ะ  จนบางทีรู้สึกสงสัยว่า  ทุกวันนี้ผู้คนมีความอดทนหรือต้านทานกับความเครียดต่ำ...หรือว่า ความเครียดและสภาวะกดดันต่างๆในชีวิตมันเยอะขึ้นน๊า...

คุณ DSS@MSU คะ

บางครั้งบางที อาจเป็นเรื่องของบุคลิกภาพ และแบบแผนการเลี้ยงดูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย...จะว่าไปใน case ลักษณะนี้เราพบในเด็กอายุน้อยๆ เพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นในเรื่องการเผชิญปัญหาของ case และเรื่องการตัดสินทำได้ไม่ดีนัก (สำหรับ case นี้)...

ขอบคุณนะคะที่แวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้

(*^__^*)

กะปุ๋ม

 

อ่านแล้วก็นึกถึงว่า ความเครียดที่เกิดขึ้นแบบนี้ คนที่เครียดมากๆ วนเวียนคิดเรื่องราวต่างๆ แบบนี้ จะมีกี่คนที่ไปรับการดูแล ถ้าไม่ออกอาการใดๆ ผู้คนจำนวนเท่าไหร่ ที่ต้องหมกมุ่นตัวเองกับความเครียด ที่ไม่สามารถบอกกล่าว หรือระบายออกมาเพื่อเยียวยาอย่างถูกวิธี

จะมีกี่คนที่ปรับเปลี่ยนความคิดตน ให้หลุดพ้นจากความวิตกกังวลต่างๆ ได้เอง แล้วสำหรับเด็กๆ อย่างน้องกาน ถ้าไม่เกิดอาการทางร่างกาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้องเครียด

ดูเหมือนว่าสังคมเราทุกวันนี้ ทำให้เกิดความเครียดได้ง่ายจัง แต่ยังไงก็ตาม ความสุขมันก็ผูกติดมากับตนทุกตน เพียงแต่อย่าลืมสังเกตุและหยิบเอาความสุขไปใช้ละกันเนอะ

^____^

เป็นกำลังใจให้น้องกานนะคะ

เช้านี้หากน้องกานเข้ามาอ่านเจอ...ได้รับกำลังใจจากพี่แนน...คงสดชื่นสดใสดีนะคะ...พอดีกะปุ๋มใช้ชื่อสมมติน้องนะคะ...แต่น้องก็อาจพอทราบเพราะพี่กะปุ๋มบอกว่าเขียนบันทึกด้วยคะ....

(*^__^*)

ขอบคุณพี่แนนแทนน้องกานด้วยนะคะ...

พี่กะปุ๋มให้กำลังใจไม่แพ้พี่แนนเช่นกันนะคะ

กะปุ๋ม

ไม่รู้ใช่มั้ย เหมือนมีชื่อจริงน้องโผล่มาในบันทึกแว๊บๆ ที่นึงด้วยนะ ถ้าใช่ไปเปลี่ยนชื่อก็ดีนะ ^___^ ให้เป็นนามสมมุติ

แหม!!!....ขอบคุณนะคะ...เปลี่ยนและแก้ไขเรียบร้อยแล้วคะ...แนนตาดีจังเลย 555....(ตาดีได้ตาร้ายเสีย...ฮา...เกี่ยวกันไหมเนี๊ยะ)....

(*^__^*)

ฟ้าหลังฝนเช้านี้สดชื่นดีจังได้เจอแนนแต่เช้า...

กะปุ๋ม

 

แวะมาเจอโดยบังเอิญครับ    เมื่อคริสมาสตร์ที่ผ่านมา ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาการคล้ายๆกันนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่โรคนี้หรือเปล่า  อยากรู้จักเจ้าของบล็อคได้ไหมครับ?  อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกอยากรู้จักตัวเองมากกว่านี้ และอยากปรึกษาเรื่องที่เพิ่งเข้าโรงพยาบาลเมื่อปลายปีที่แล้วด้วย เพราะ ตอนนี้อยู่ประเทศจีน  ตอนหมอตรวจอาการ ก็ ไม่เข้าใจซะทังหมด เลยอยากทราบรายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้  ขอบคุณครับ

ดิฉันก็เป็นอาการอย่างนี้เหมือนกันค่ะ เพิ่งเป็นได้ประมาณเดินกว่า เป็นตอนสอบ ก็เลยไปโรงพยาบาลตอนดึก หมอก็บอกว่าเป็นอาการนี้
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท